วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

การใช้งาน bittorrent

ข้อมูลสรุปนี้ไม่พร้อมใช้งาน โปรด คลิกที่นี่เพื่อดูโพสต์

ความหมายของบิตทอร์เร้นท์

BitTorrent (BT) คืออะไร?
Bittorrent เป็นมาตรฐาน P2P (peer to peer) ที่ใช้เพื่อรับส่งไฟล์ระหว่างผู้ใช้ Internet ด้วยกัน เครื่องผู้ใช้จะติดต่อกับเครื่องของผู้ใช้อื่นเพื่อรับส่งชิ้นส่วนของไฟล์ จะมีเครื่องมือหนึ่ง หรือ โปรแกรม (เรียกว่า Tracker) ทำหน้าที่เป็นตัวจัดระบบการสื่อสารระหว่างผู้ใช้เหล่านั้น(peers) ตัว Tracker จะทำหน้าที่จัดการเท่านั้น จะไม่มีข้อมูลของไฟล์ที่รับส่ง
ดังนั้น Tracker จึงไม่ต้องมีเน็ตที่แรงเพราะไม่ได้รับส่งไฟล์เอง สิ่งที่ทำให้ BT อยู่ได้ก็คือหลักการที่ผู้ใช้ควรจะส่งไฟล์ขณะเดียวกับที่รับไฟล์ หากมีผู้ใช้มากก็จะเร็วมาก การทำงานของ BT ก็คือการหั่นไฟล์นึงเป็นหลายๆ ส่วน แล้วส่งคนละส่วนไปยังผู้รับหลายคน พอผู้รับเหล่านั้นได้รับส่วนเหล่านั้นก็จะสามารถรับส่งกันเองเพราะต่างกันต่างมีชิ้นส่วนที่คนอื่นไม่มี ทำให้ไม่ต้องพึ่งผู้ส่งผู้เดียว
BitTorrent ต่างจาก P2P แบบอื่นอย่างไร
P2P แบบอื่นเช่น WinMX,eMule,Kaza,Napster จะเป็นการติดต่อแค่ 1-1 เท่านั้น
คือ 1 ไฟล์ จะมีแค่เพียง 1 Connection ระหว่าง ผู้ส่ง กับผู้รับ เท่านั้น ทำให้มีความเร็วต่ำ
โดยเฉพาะถ้าคนปล่อยไฟล์ โดนคนดูดไฟล์หลายๆคนรุมดูดพร้อมกัน จะช้ามากๆ
และลักษณะการส่งจะเป็นแบบทิศทางเดียว คือ ผู้ส่ง -> ผู้รับ
จึงเหมาะกับแชร์ไฟล์ขนาดเล็กๆเท่านั้นเช่น ไฟล์ MP3 รูป zipขนาดไม่เกิน10M
BT เป็นการรวมคนปล่อย และคนดูด ไฟล์ใดไฟล์หนึ่ง เข้ามารวมไว้ด้วยกัน
จะมีการติดต่อตามจำนวนคนที่แชร์ไฟล์นั้นอยู่ คือ 1 ไฟล์ จะมีหลาย Connection ทำให้มีความเร็วสูง
แบบเดิมจะรับไฟล์ได้จากคนปล่อยเพียงคนเดียว ส่วน BT ก็จะรับไฟล์จากคนปล่อยได้หลายคน
ลักษณะการส่งจะเป็นแบบส่งต่อ คือคนที่ได้รับไฟล์แล้วก็จะส่งไฟล์ต่อไปให้คนที่ยังไม่ได้อีกที
คือแทนที่จะเป็นคนรับอย่างเดียว ก็จะเป็นทั้งรับ และปล่อย ไปพร้อมๆกัน เวลารุมดูดไฟล์พร้อมกันจึงไม่ช้า
เหมาะกับการแชร์ไฟล์ขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 10M ขึ้นไปจนถึง 10G หรือมากกว่านี้
Tracker คืออะไร?
Tracker คือ เครื่องมือ หรือ โปรแกรมในเน็ตที่ทำหน้าที่จัดการประสานการระหว่างผู้ที่ต่อเข้า BitTorrent เมื่อคุณเปิดไฟล์ torrent ตัว client ก็จะติดต่อกับ tracker (ที่ระบุใน torrent) เพื่อขอรายชื่อผู้ที่อยู่ใน swarm ของไฟล์นั้นๆในปัจจุบัน ตัว tracker จะรู้ว่าสมาชิกของ swarm มีชิ้นส่วนไหนของไฟล์รวมทั้งสถานะของสมาชิกแต่ละคน หาก tracker เกิดขัดข้องก็จะไม่สามารถเริ่มโหลดไฟล์นั้นได้ แต่หากโหลดอยู่แล้วก็สามารถโหลดต่อได้
Tracker จะมี 2 แบบคือ
1.ระบบปิด ต้องเป็น Member คิด Ratio ส่วนมากจะเป็นระบบนี้ ข้อดีโหลดได้ไว คิด Ratio ทำให้คนอยากปล่อย
2.ระบบเปิด ไม่ต้องเป็น Member ไม่คิด Ratio เช่น Suprnova.org ข้อเสีย ปลิงเยอะ โหลดช้า
Seeders และ Leechers คืออะไร
Seeder เรียกง่ายๆ ว่า "ผู้แจก" มีหน้าที่แจกไฟล์ หรือ Upload เท่านั้น ไม่สามารถ Download ได้
Leecher เรียกง่ายๆ ว่า "ผู้โหลด" หรือ ตามคำแปลครับ "ปลิง" มีหน้าที่ดูดอย่างเดียว พร้อมกันนั้นทำหน้าที่แจกไฟล์ที่โหลดมาเสร็จแล้วบางส่วนไปในตัวด้วย ซึ่ง Torrent จะทำหน้าที่ในการแยกไฟล์ใหญ่ๆ ไฟล์หนึ่งออกเป็นหลายๆ ชิ้นด้วยกันเรียกได้ว่า Pieces
- ขณะที่คุณกำลัง Upload หรือ เป็นต้น seeder คนแรก ไม่ควร Leech ไฟล์อื่นๆ ควรจะรอให้คนอื่นๆ สามารถ Download จากคุณได้ครบ 100% ซะก่อน นอกจาก/หรือ มีผู้อื่นขยับฐานะจาก Leechers เป็น seeders ช่วยคุณก่อน แล้วจึงเริ่ม Download ไฟล์อื่นที่ต้องการ
- ขณะที่คุณทำหน้าที่เป็น Seeder นั้น คุณควรแจกไฟล์ หรือ ทำหน้าที่เป็น "ผู้แจก" ที่ดีให้ในปริมาณที่เท่าๆ กับที่คุณโหลด (Leech) มาจากคนอื่นๆ เช่น หากคุณโหลดมา 700MB คุณควรจะเปิดค้างไว้ปล่อยให้ทำการ Seed ต่อไปจนถึง 700MB เท่าๆ กับที่คุณโหลดมา (ถ้าแจกได้เท่ากับที่โหลดมาก็จะถือว่าเป็นอัตราส่วน = 100%)
Ratio คืออะไร ทำไมต้องมี
Raito คือ ค่า Upload หาร Download = Ratio
เช่น หากค่า Upload ของคุณมีค่า 700 MB ค่า Download ของคุณมีค่า 900 MB
ให้นำ 700 หาร 900 จะได้ Raito = 0.875 (หรือ 87.5%)
นั่นคือคุณมีแต้มทั้งหมด 0.875 แต้ม เพื่อใช้ในการ Download ตามเงื่อนไขของ Tracker
ที่ต้องมี Ratio ก็เพื่อป้องกันปลิง(มาดูดอย่างเดียวไม่ยอมปล่อยให้คนอื่น)
ถ้ามีปลิงมากๆ ก็จะคล้าย P2P แบบเดิมคือมีแต่คนดูด ไม่มีคนปล่อย ทำให้โหลดไฟล์กันได้ช้ามากๆ
ส่วนมาก Tracker จะกำหนดต้องมี Ratio มากกว่า 0.3-0.5 ถึงจะสามารถโหลดไฟล์ใหม่ได้
Ratio ที่ดีคือ 1 หรือใกล้เคียง หมายความว่าคุณโหลดไฟล์มาเท่าไหร่ ก็ส่งต่อให้คนอื่นเท่านั้น
เทคนิค
- ครั้งแรกในการสมัครจะมี Raito = 0.00 เราควรเลือกไฟล์ที่มีผู้ Leech เยอะๆ หรือ นิยมๆ เพื่อให้ เราสามารถ share ไฟล์ที่เรากำลังโหลดอยู่ให้คนอื่นๆ ไปด้วยในตัว เพราะระบบของ Torrent แล้ว ในระหว่างการ Download สามารถ Upload ไปพร้อมๆ กันได้ ทำให้เราได้ Raito สะสมได้อีกทางหนึ่ง
- ดูว่าไฟล์ไหนน่าจะมีคนโหลดมากๆ แล้วรีบเข้าไปโหลดเป็นคนแรกๆ ถึงไฟล์นั้นเราจะไม่ต้องการ
- หาไฟล์เพื่อทำการ Upload เพื่อเป็นการเพิ่ม Ratio ของเราได้ และ ขณะที่คุณกำลัง Upload หรือ เป็นต้น seed คนแรก ไม่ควร Leech ไฟล์อื่นๆ ควรจะรอให้คนอื่นๆ สามารถ Download จากคุณได้ครบ 100% ซะก่อน นอกจาก/หรือ มีผู้อื่นขยับฐานะจาก Leechers เป็น seeders ช่วยคุณก่อน แล้วจึงเริ่ม Download ไฟล์อื่นที่ต้องการ

เครดิต : www.thaiware.com

การ shutdown โดยกดปุ่ม power ที่เครื่องคอมพิวเตอร์

แผงวงจรหลัก (mainboard) ของคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ จะสนับสนุนการชัตดาวน์ระบบอัตโนมัติ โดยทำงานร่วมกับ Power Options ใน Control Panel ของ Windows XP และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวจะทำให้ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม Power บนเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อชัตดาวน์การทำงานได้ทันที โดย Windows จะปิดโปรแกรมที่เปิดอยู่ จากนั้นล็อกออฟผู้ใช้ และชัตดาวน์ระบบให้โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้ไม่ต้องแตะต้องเมาส์เลย ในกรณีที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณไม่สามารถชัตดาวน์ด้วยวิธีนี ้ได้ นั่นอาจเป็นเพราะแผงวงจรหลักไม่ได้สนับสนุนการทำงานในลักษณะดัง กล่าว หรืออีกกรณีหนึ่งก็อาจเป็นเพราะตัวเลือกของการทำงานใน Power Options ไม่ได้สั่งให้ Shutdown เมื่อปิดสวิตช์

shutdown2

คุณสามารถตรวจสอบตัวเลือกดังกล่าวได้โดยเปิดหน้าต่าง Control Panel (คลิกปุ่ม Start เลือก Control Panel) จากนั้นดับเบิ้ลคลิกบนไอคอน Power Options คลิกแท็บ Advanced สังเกตกรอบที่ด้านล่างที่เขียนว่า Power buttons ในดรอปดาวน์ลิสต์บ๊อกซ์จะต้องเลือกเป็น Shutdown ดังรูป ลองตรวจสอบ และทำตามดูนะครับ

วิธีเช็คว่าตัว scan virus ยังใช้งานได้ดีหรือไม่

ตัว scan virus คุณเจ๋งรึป่าว
ลองดูน่ะ
1. เปิดโปรแกรม NotePad ขึ้นมา (ไว้ที่หน้าจอ Desktop จะสะดวกสุด)
2. Copy โค้ดด้านล่างไปใส่ใน NotePad

X5O!P%@AP[4\PZX54(P^)7CC)7}$EICAR-STANDARD-ANTIVIRUS-TEST-FILE!$H+H*

3. Save เป็นชื่อ virus.com
4. แล้วลองรันดู

ถ้า Anti-Virus ไม่แจ้งว่าเป็นไวรัสก็แสดงว่า ถึงเวลาเปลี่ยน Anti-Virus เพราะว่ามันไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการตรวจจับ


ปล. วิธีนี้ไม่มีอันตรายกับเครื่องครับ เพราะมันเป็นวิธีทดสอบ Anti-Virus ของเราเท่านั้น ไม่ใช่ไวรัสจริงๆ

วิธีเปลี่ยนพื้นหลังของ explorer

วิธีเปลี่ยนพื้นหลังของ Explorer(ไม่ต้องใช้โปรแกรมช่วย)

1. เลือกรูปที่เราจะทำเป็นพื้นหลัง แล้วกฌ๊อปปี้มาวางในโฟลเดอร์หรือไดรวืที่เราต้องการจะทำรูปพื้นหลัง
ในกรณีนี้ สมมุติเป็นไดรว์ซี
2. จากนั้นนำไปวางไว้ที่โฟลเดอร์หรือไดรว์เป้าหมายของเรา
3. ไปที่สตาร์ทเมนู------โปรแกรม----แอ๊คแซ็สซอรี่ ---- โน๊ตเพ็ด หุหุหุ
พิมพ์ข้อความนี้ลงไป
[{BE098140-A513-11D0-A3A4-00C04FD706EC}]
iconarea_image=000000.jpg
ให้ save เป็นแบบ all files ครับ อ๋อ. 000000 คือ ชื่อของไฟล์ภาพ
แล้วเซฟในชื่อของ desktop.ini ครับ ไปใว้ในไดว์เดียวกับภาพในตอนแรก

รวมเวบอัพโหลดไฟล์ต่าง ๆ

อันนี้เวปสำหรับพวกอัพโหลดไฟล์ต่างๆ

http://www.dropload.com

Space: 100Mb
limites: 7 day
-----------------------------------
http://www.youshareit.com/

Space: 50Mb
limites: 100 download
-----------------------------------
http://www.yousendit.com

Space: 1Gb, download can resume, specail download manager
limits: 25 download or 7 days
----------------------------------
http://www.sharebigfile.com

100mb limiit, there is a 7 day download limit like some of the others but you can have 250 dls before link is done, if people dl and up again to another link this can be a very handy service.
---------------------------------------
http://www.rapidshare.de
(files being reported as forbidden and deleted.
space: 30Mb, Unlimited downloads
limits: one hour download, wait for countdown, daily download limit, can't resume download, one IP connection, inactive link deleted after 30 days
-----------------------------------------
http://www.mytempdir.com/

keep the files for 14 days.
25mb file size limit.
------------------------------------------
http://www.putfile.com

Space: 10Mb
limits: Only images and video
-------------------------------------------
http://www.webfile.ru

Space: 20Mb
limits: bandwidht limit, password protect, russian site
-----------------------------------------------
http://sharefiles.ru

Space: 50Mb
limits: bandwidht limit, password protect, russian site
---------------------------------------------------
http://www.zippyvideos.com

Space: 5Mb
limits: only Video
----------------------------------------------------
http://www.yourfile.net

Space: 1Mb
limits: keep it any time you want
-------------------------------------------
No Downloadlimit
After Upload, you'll get URL. This URL you can Post as Downloadlink.
Your file will be deleted, if after 30 days there where no download action.

alternative domain:
http://www.updownloadserver.com

การลง windows ใหม่

การลงวินโดวส์ใหม่ ก็มีวิธีดังนี้
1. เปิดเครื่อง สั่ง BIOS ให้ boot จาก CD-ROM (boot from CD-ROMอันดับแรก)
หลังจาก save BIOS และ exit กดEnterแล้วเครื่องจะ restart
2. ใส่ แผ่น windows XP เข้าไปใน CD-ROM Drive
3. จะพบข้อความ press any key to boot from CD.. ให้กดปุ่ม Enter
เพื่อ boot เครื่องจาก CD-ROM Widows XP
4. จะมีการ copy ไฟล์หรือข้อมูลบางส่วน ให้คุณรอไปก่อน
5. เมื่อพบหน้าต่าง welcome to setup ให้เริ่มติดตั้งได้ทันทีโดยกดปุ่ม Enter เพื่อทำขั้นตอนต่อไป
6. จะปรากฏข้อความเกี่ยวกับการใช้งาน windows XP (หน้าจอเขียนว่า Windows XP Licensing)
ให้กดปุ่ม F8 เพื่อยอมรับรายละเอียดดังกล่าว
7. พอมาถึงขั้นตอนนี้ จะเป็นการเลือกติดตั้ง Windows XP ลงใน partition ใด
คุณจะพบคำสั่งให้เลือก 3 แบบคือ
-ติดตั้งใน partition ที่เลือกไว้ ให้ กด Enter
-สร้าง partition ใหม่กด C
-ลบ partition นั้นกด D
ผมสมมติว่าคุณจะเลือกลงใน partition ที่เลือกไว้คือ Drive C นะ
ให้คุณกด Enter เพื่อติดตั้งที่ Drive C
8. เลือกระบบไฟล์ที่ต้องการ โดยกดปุ่มลูกศรขึ้นลง หลังจากนั้นกด Enter
9. ปรากฏหน้าจอให้ format (to continue and format the partition ,press Enter) ให้กด Enter
10. Windows จะเริ่ม format
11. หลังจาก format แล้วมันก็จะ copy ข้อมูลลงใน HDD
12. หลังจากนั้นปรากฏหน้าจอ This partition of setup has completed……
ให้กดปุ่ม Enter เพื่อ restart เครื่อง
13. หลังจากเครื่องเริ่ม restart อย่ากดปุ่มใดๆ ให้รอจนกว่าจะขึ้นหน้าจอ Windows XP Professional
14. จะเห็นวินโดว์ตรวจสอบค่าต่างๆ พร้อมทั้งบอกข้อดีอะไรของมันไปตามเรื่อง
คุณก็อ่านเล่นๆ ไปพลางๆ ก่อนได้
15. รอสักหน่อยก็จะปรากฏหน้าต่าง Regional and language Option ออกมา คลิ๊กที่แท็บ Customize
16. คลิ๊กที่แท็บ languages
17. คลิ๊กถูกที่ข้อความ install files for complex scipt….แล้วตอบ OK
และคลิ๊กถูกที่ install files for East Asian language แล้วตอบ OK
18. จากนั้น คลิ๊กที่แท็บ advanced
19. เลือกภาษาไทย แล้วกด Apply เครื่องจะ copy ไฟล์ font ภาษาไทย (ขั้นตอนนี้ใจเย็นรอสักครู่)
20. หลังจากนั้นคลิ๊กที่แท็บ regional option แล้วเลือกไทย location ก็เลือกเป็น Thailand
21. คลิ๊ก next
22. จะปรากฏหน้าต่าง personalize Your software
ให้คุณตั้งชื่อตามใจที่คุณต้องการ ส่วนช่อง Organization เลือกพิมพ์เป็นอะไรก็ได้
23. คลิ๊ก next
24. กรอกหมายเลขแผ่น windows XP ซึ่งมี 25 ตัว
25. คลิ๊ก next
26. กรอกชื่อ computer ของคุณ ที่ช่อง computer name
27. ตั้ง password หรือไม่ตั้งก็ได้ตามใจ
28. คลิ๊ก next
29. ตั้งวันที่ให้ตรง ที่ time zone เลือก GMT +7 Bangkok,Hanoi,Jakata
30. คลิ๊ก next
31. เลือการติดตั้งแบบ Typical
32. คลิ๊ก next
33. กรอกข้อมูลเครือข่ายกรณีที่คุณเชื่อมต่อกับเครือข่ายโดยใส่ชื่อเครือข่ายของคุณ
ถ้าคุณมี modem มันก็ให้คุณ set ค่าต่างๆ ขณะนั้นเลย คุณก็กรอกไป
34. คลิ๊ก next และรอต่อไปจนกระทั่งมัน restart ใหม่
35. อย่ากดปุ่มใดๆ ให้รอจนกระทั่งมันขึ้น logo Windows Xp professional
36. ถ้าเครื่องคุณเป็น VGA on Board มันก็จะปรับขนาดจอภาพให้คุณจนขึ้นมองได้ชัดเจนแล้วให้กด OK
แต่ถ้าเป็น VGA ต่างหากมันจะข้ามขั้นตอนนี้ไป
37. จะปรากฏหน้าจอ Welcome to………. .ให้คุณคลิ๊ก next ด้านล่างขวา
38. หากคุณต่อ internet มันจะเชื่อมต่อ internet เพื่อ update
แนะนำว่าข้ามขั้นตอนนี้ไปเลยโดยคลิ๊กที่ skip ซึ่งอยู่ด้านล่างขวา
39. จะปรากฏหน้าจอ ready to register with ….. ให้คุณเลือก No, not this time
40. คลิ๊ก next ด้านล่างขวา
41. จะปรากฏหน้าจอ who will use this computer? ให้คุณกรอกชื่อผู้ใช้ซึ่งมีให้กรอก 5 users
แต่คุณกรอกชื่อเดียวได้โดยชื่อนั้นห้ามซ้ำกับชื่อเครื่องที่คุณตั้งไว้ในข้อ 26
42. คลิ๊ก next ด้านล่างขวา
43. คลิ๊ก finish ด้านล่างขวา เป็นอันเสร็จ
44. หลังจากนั้นจะปรากฏหน้าจอใช้งานเป็นรูปทุ่งหญ้าวิวมี เมฆ ถ้าจำไม่ผิดจะมี icon ตัวเดียว
คือ recycle bin อยู่ที่มุมล่างขวา คุณสามารถเพิ่ม icon ใช้งานอื่นๆได้
โดย คลิ๊กขวาบริเวณพื้นที่ว่างเลือก properties แล้วคลิ๊กที่แท็บ Desktop
แล้วคลิ๊ก Customize Desktop (อยู่ใกล้ๆ ปุ่ม OK) จะปรากฏหน้าต่างDesktop Item
ที่แท็บ General ให้คุณคลิ๊กถูกที่ Desktop icon ที่คุณต้องการโชว์บนหน้า Desktop
หลังจากนั้นคลิ๊ก OK เป็นอันเรียบร้อย
หากซีพียูของคุณมีความเร็ว 700 เมกะเฮิร์ตขึ้นไป และมีหน่วยความจำอย่างน้อย 256 เมกะไบต์
(แน่ะนำ 256 เมกะไบต์ขึ้นไปยิ่งดีมากๆๆๆๆๆ) ฮาร์ดดิสก์ 20 กิกะไบต์ขึ้นไป
ไดรฟ์ซีดีรอม 24X ขึ้นไป การ์ดจอก็ควรจะมีหน่วยความจำสัก 64 เมกะไบต์
จะให้ดีเป็นการ์ดจอแบบ AGP 4X ,8Xด้วยล่ะก็ เยี่ยม!
โมเด็ม Soft V92 จะให้ดีไปกว่านั้นก็การ์ดเสียง PCI ลำโพงดีๆ สักคู่ ( นะจะบอกให้ๆๆๆๆๆๆๆๆ.........)

อีกวิธีคล้ายๆกัน

ถ้าเป็น Windows XP นะครับ จะ format เครื่อง ในกรณีของคุณ Zeesa หมายถึงการลง Windows ใหม่ ถ้าจะลง windows xp ใหม่ต้องเตรียมอุปกรณ์ดังต่อไปนี้นะครับ
1. แผ่น Boot Windows XP ก็คือแผ่น CD-Rom ติดตั้ง windows นั้นเองนะครับ โดยแผ่นนี้จะต้องเป็นแผ่น Boot ในตัวเองด้วย โดยมากแล้วจะเป็นแบบ Boot ในตัวแล้วนะครับ
2. สำรองข้อมูลออกจาก HDD ก่อน โดยวิธีเขียนลง CD หรือ copy ลงอีก HDD หนึ่งก็ได้ ง่ายที่สุดก็คือเขียนลง CD เก็บเอาไว้นะครับ ง่ายและปลอดภัยที่สุด
3. แผ่น Driver Mainboard, VGA Card, Sound Card และแผ่นโปรแกรมที่จำเป็นต้องใช้หลังจากลง วินโดวส์เสร็จ เช่น Office หรือ Application อื่นๆ

ขั้นตอนการลง windows นะครับ
1. ต้องรู้จัก BIOS เพราะเราต้อง set ให้เครื่องคอมฯ ของเรา Boot จาก CD-Rom เป็นหลัก โดยปกติ เครื่องโดยทั่วไปจะ Boot จาก Hdd เป็นหลัก ในกรณีที่ใช้งานปกตินะครบ แต่ถ้าต้องการลง OS ใหม่ เราต้อง กำหนด FirstBoot เป็น CD-Rom นะครับ แต่ Mainboard บางรุ่นสามารถกดคีย์ F8 หรือ F11 เพื่อเลือกลำดับการ Boot ได้ เช่น 1.CD-Rom, 2.Hdd, 3.Fdd, 4.Network แล้วจะรู้ได้ไงว่า ต้องกดคีย์อะไรถึงจะเป็นเมนูนี้ ให้สังเกตุตอนที่เราเปิดเครื่องตอนแรกนะครับ จะมีข้อความที่เน้น เด่นชัดเจน ว่าให้กดคีย์ตัวไหน เพื่อทำอะไร เช่น DEL key Setup BIOS นั้นก็คือ กดคีย์ Del เพื่อกำหนดหรือติดตั้ง BIOS ของ Mainboard ให้รีบกดตั้งแต่เห็นข้อความเลยนะครับ ถ้า Boot เข้าหน้าจอ windows แล้วจะใช้ไม่ได้นะครับ
จะรู้ได้ไงว่า Firstboot อยู่ที่ไหน คำว่า FirstBoot หมายถึงจะให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ค้นหาข้อมูลการBoot เครื่องจากอุปกรณ์ตัวไหน เช่น CD-Rom, Harddisk, NetWork ในกรณีที่เราต้องการลง OS ใหม่ให้เลือก FirstBoot เป็น CD-Rom นะครับ ลองหาดูในเมนูต่างๆ ใน BIOS นะครับ เพราะ Mainboard แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ เมนูอยู่คนละจุดกัน บางรุ่นก็สังเกตุเห็นได้ชัดเจน เช่นอยู่ที่เมนู Boot Select หรือบางรุ่นอยู่ที่เมนู Advance ใช้คีย์บอร์ด ปุ่มซ้าย,ขวา,ลง,ขึ้น เพื่อเลือกเมนู Enter เพื่อเลือกเมนู หรือ Esc เพื่อออกจากเมนู
ถ้าเจอเมนู Boot แล้วให้เปลี่ยน firstboot = CD-ROM นะครับ จำเมนูนี้ให้ดีนะครับ หรือจดเอาไว้ก็ได้ เพราะหลังจาก ลง OS เสร็จแล้ว เราต้อง set FirstBoot เป็น Hdd นะครับ เพื่อป้องการการผิดพลาดจากการใส่แผ่นค้างที่ CD-Rom เพราะลืมเอาแผ่นออกหลังจากเล่นเสร็จ ในกรณีที่บางแผ่นสามารถ Boot ได้ อาจจะทำให้เราต้องลง Windows ใหม่อีกก็ได้นะครับ และจะทำให้เครื่อง boot ได้เร็วขึ้นโดยที่ไม่ต้องไปค้นหาการ Boot จากแผ่น CD-Rom ก่อน
เลือกรายการ Boot ได้แล้ว ก็ให้กดคีย์ F10 นะครับ และยืนยันการSave ตอบ Yes จากนั้นเครื่องจะ reBoot ใหม่ ให้ใส่แผ่นติดตั้ง Windows ใน CD-Drive

2. หลังจากใส่แผ่นติดตั้ง windows เครื่องคอมฯจะ boot จาก cd-rom เข้าสู่โหมดการติดตั้ง OS การติดตั้ง จะมี 2 ข้อเลือกในการจัดการกับ HDD นะครับ คือ 1. เลือก Format เฉพาะ Partition ที่เป็น C: เพื่อลบข้อมูลเตรียมลง Windows ใหม่ หรือ 2. ลบ Partition ทั้งหมดใน Hdd เพื่อสร้าง Partition ใหม่ ในกรณีนี้ เราต้องแน่ใจว่าข้อมูลใน Hdd ทั้งหมดมีการสำรองเอาไว้แล้วหรือ เราไม่ต้องการข้อมูลใดๆใน Hdd ของเราอีกแล้ว
2.1 ถ้าเลือก Format เฉพาะ C: ให้อ่านตัวเลือกให้ดีนะครับ วิธีการ format ก็จะมี ชนิดของ Partition ให้เลือกอีกคือ NTFS หรือ FAT32 จะเลือกอันไหนดี สำหรับ Windows XP นะครับ ให้เลือก NTFS นะครับ
2.2 ถ้าต้องการลบข้อมูลทั้งหมดใน HDD เพื่อสร้าง Drive ใหม่ ในกรณีที่ติด Virus หรือไม่ต้องการข้อมูลทั้งหมด วิธีนี้จะดีที่สุดนะครับ จะทำให้เราได้เนื้อที่หรือสร้างเนื้อที่ในการเก็บข้อ มูลใหม่ทั้งหมด แล้วเราจะลบ Partion อย่างไร ให้ลบ Partition จากล่างสุดขึ้นไปนะครับ กดปุ่ม ขึ้นหรือลง เพื่อเลือก Partition จากนั้นกดคีย์ Del Partition นั้นจะหายไป แต่เนื้อที่ของ HDD จะเหลือเท่าเดิมนะครับ เมื่อลบหมดแล้ว ให้สร้าง Partition ใหม่ พื้นที่ C: จะมีขนาดโดยประมาณ 15GB - 20 GB นะครับ ถ้ามากกว่านี้จะทำให้ Boot หรือทำงานช้า เมื่อใช้งานนานๆ นะครับ
ขณะลง Windows ให้สังเกตุดูเมนู หรือ Option แต่ละข้อให้ดีนะครับ จะมี option ให้เราเลือก ถ้าทำได้ 2 ข้อนี้ การลง OS ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วครับ แต่ต้องอ่าน Eng ให้ดีหน่อยนะครับ

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

วิธีการต่อแลนคอมพิวเตอร์

          เวลาเราจะทำให้คอมพิวเตอร์เห็นกันระหว่างสองเครื่อง หรือมากกว่านั้นสิ่งที่ต้องทำโดยแบ่งเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
      1. การกำหนดให้เครื่องคอมทั้ง 2 เครื่อง อยู่ใน IP Class เดียวกัน ซึ่ง IP Class หมายถึง การกำหนดค่า IP Address ของเครื่องคอมพิวเตอร์ อยู่ในวงแลนเดียวกัน เช่น เครื่องที่ 1 เซ็ต Ip address 192.168.1.1 เครื่องที่ 2 192.168.1.xxx สามารถเช็คโดยเข้าไปที่ Start > Run แล้วพิมพ์ cmd ลงไปในช่องแล้วกด Enter จากนั้นให้พิมพ์ ipconfig /all แล้วกด Enter หลังจากนั้นก็จะปรากฏ IP เครื่อง
     2. ถ้าเราไม่ได้กำหนด IP Address ไว้ IP แต่ละเครื่องที่จะได้เป็นการแจกจากตัว Lan ให้เอง แต่การสุ่มนั้นจะไม่ค่อยดีนักเพราะฉะนั้นเราควรกำหนด IP Address โดยเข้าไปที่ My Network Place คลิกขวาเลือก Properties แล้วดับเบิ้ลคลิก หรือคลิกขวาที่ตัวที่เป็นชื่อการ์ดแลนของเรา แล้วเลือก Properties จากนั้นให้เลือก Internet Potocal แล้วเลือก Properties อีกครั้ง ซึ่งจะเข้าสู่หน้าให้ใส่ค่า IP Address และค่าอื่นๆ โดยเราเลือกที่ Use the follow IP Address แล้วกำหนด IP

 

ดังนี้
เครื่องที่1
IP Address : 192.168.1.1
Sub net mask : 255.255.255.0
Gate Way : 192.168.0.1
เครื่องที่ 2
IP Address 192.168.1.2
Sub net mask 255.255.255.0
Gate Way 192.168.0.1


     3. เมื่อเปลี่ยน IP แล้วให้ทดสอบว่าระหว่างเครื่องทั้งสองมองเห็นกันหรือไม่ โดยไปที่ Start > Run แล้วพิมพ์คำสั่ง cmd จากนั้นพิมพ์ ping 192.168.1.2 ถ้าไม่ขึ้น time out ก็แสดงว่าทั้งสองเครื่องมองเห็นกันแล้ว และให้ทำกับเครื่องที่สองเหมือนกันแต่เปลี่ยน IP ของเครื่องที่ 1 เท่านั้น
     4. เซ็ต Work Group ให้เหมือนกัน แต่ Computer name ต้องต่างกัน เข้าไปเซ็ตโดยคลิกขวาที่ My Computer > Properties > Computer name > กดที่ Change > แล้วเปลี่ยนชื่อ Work Group และ Computer name
     5. สำหรับการแชร์ไฟล์ให้กัน ทำโดยการคลิกขวาที่ Drive หรือ Folder ที่ต้องการจะทำการ Share ข้อมูลกันจากนั้นเลือกไปที่ properties จากนั้นเลือกไปที่ แท็ป Sharing จากนั้นเลือกไปที่ Share this folder on the network และ Allow network user to change my files(เป็นการให้ผู้ใช้คนอื่นสามารถเปลี่ยนแปลงไฟล์เราที่อยู่ในโฟล์เดอร์นี้ได้ ซึ่งไม่เลือกก้ได้หากต้องการให้ผู้ใช้คนอื่นได้แค่เปิดไฟล์อ่าน)และให้ตั้งชื่อที่จะ Share ได้ตามต้องการ ถ้าอยากให้ทั้ง 2 เครื่องแชร์ก็ทำสองเครื่องเลยก็ได้
     6. สำหรับการใช้งาน printer ร่วมกัน วิธีทำก็จะคล้ายกับการทำ Share ไฟล์หรือ Folder เลย แต่ต่างกันที่เราต้องไปเซ็ตเครื่องที่ติดตั้ง Printer <เครื่องแม่> IP 192.168.1.1 (เครื่องที่ 1)
1. ไปที่ Start > Setting > Printer and Fax >
2. เลือกเครื่อง Printer ที่จะ Share จากนั้นคลิกขวาแล้วเลือก Properties
3. ไปที่แท็ป Share จากนั้นเลือก Share this printer แล้วตั้งชื่อ และOK
7. และการเข้าใช้งานเครื่องที่จะเข้าไปใช้งาน Printer ที่ถูกแชร์ไว้
1. ไปที่ Start > run แล้วพิมพ์ \\ชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้ง Printer หรือ พิมพ์ IP ของเครื่องที่ติดตั้งเครื่อง Printer ไว้ในตัวอย่างข้อ 6 ติดไว้ที่เครื่องที่ 1 โดยวิธีการเรียกจะใส่เป็น \\192.168.1.1
2. จากนั้นจะเห็น Printer และ Folder ที่ทำการ Share ไว้
3. การใช้งาน Printer ให้คลิกขวาที่ Printer แล้ว เลือกไปที่ connect
4. ถ้าอยากใช้งาน Folder ที่ share ไว้ ให้คลิกขวาที่ Folder แล้ว เลือก Map Drive ก็ได้ จากนั้นเลือกเป็นไดร์ที่เราต้องการ
5. เมื่อเราเข้า My computer จะเห็นไดร์เพิ่มขึ้น ซึ่งก็คือ Folder ที่เปิด share ไว้นั่นเอง
6. เมื่อลอง Print เอกสาร ให้เลือกเครื่อง Printer ก่อนการสั่ง print เราก็จะเจอกับ Printer ที่ได้ไปทำการ connect เอาไว้เมื่อกี้แล้ว

วิธีลง msn ใหม่

สำหรับคนที่ลงไม่ได้ เพราะคุณยังไม่ได้ลบ MSN ตัวเก่าก่อนให้ลบตัวเก่าก่อนโดยทำตามดังนี้ครับ

- คลิกที่ตัว Uninstall ในโฟลเดอร์ที่ลงไว้ครับ (ถ้าไม่มีก็ข้ามไปวิธีต่อไปครับ)
- ไปที่ Control Panal >> Add or Remove Program แล้วหาโปรแกรม Msn
ที่ติดตั้งไว้ แล้วคลิก Remove ออกเลยครับ
ถ้ายังลงไม่ได้ก็
กดสต๊าด เลือกRun แร้วพิม
msiexec /x {B1403D7D-C725-4858-AACC-7E5FA2D72859}
ถ้ากดแล้วมันขึ้นว่า This action is only vaild for products that are currently installed
ให้ลองทำอย่างนี้ดู
Click Start, then Run, and enter the following:
regsvr32 softpub.dll
then click OK
and do the same for the following:
regsvr32 wintrust.dll
regsvr32 initpki.dll
หากยังลบได้อีกหรือมีปัญหา ให้เข้าไปลบที่ Start>run>regedit แล้วกด run กด Ctrl+F แล้วให้พิมคำว่า Msn หรือ Windows live หรือ Messenger ประมาณนี้
หากมันหาเจอก็ให้ Delete ซะ กด F3 มันจะหาตัวถัดไปก็ให้เราลบออก (ก่อนลบให้ดูด้วยว่าไฟล์นั้นมาเกี่ยวข้องกับ Windows messenger หรือ Msn หรือเปล่า ถ้ามีก็ให้ลบไป) ลบไปจนกว่าจะหาไม่เจอ ที่นี้หล่ะล้างพลาน ถอนรากถอนโคลนเลยคับ
ทำตามมาหลายอย่างแล้วยังไม่ได้อีก
ให้ กดสต๊าด เลือกRun แร้วพิม msiexec /x {0AAA9C97-74D4-47CE-B089-0B147EF3553C}
ใครที่ยังแก้ไม่ได้อีก ลองวิธีนี้ซิครับ..ได้แน่นอน..
๑ ลงโปรแกรม Windows Installer CleanUp Utility ก่อน แล้วติดตั้งให้เรียบร้อย
๒ คลิกเข้าโปรแกรม Windows Installer CleanUp Utility จะเจอ โปรแกรมที่แถมที่มากับ msn เวอร์ชั่นใหม่ อีก ๗-๘ โปรแกรม...ลบทิ้งให้หมด
๓ แล้วก็ลงโปรแกรม msn เก่าได้เลย..แนะนำว่า 8.5 ปลอดภัยที่สุด..ครับ


เมื่อลบตัวเก่ากันเสร็จแล้วก็ จัดการลงเวอร์ชั่นที่ต้องการได้เลยครับ

ไวรัสคอมพิวเตอร์

ไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้าย ๆ
กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรคที่สามารถแพร่ระบาดได้ และมักทำอันตรายต่อสิ่งที่มัน อาศัยอยู่

ไวรัสคอมพิวเตอร์คืออะไร
ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อก่อกวนทำลายระบบคอมพิวเตอร์ไม่ว่า
จะเป็นข้อมูลชุดคำสั่ง หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น แผ่นดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ หรือหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ และเป็น
โปรแกรมที่สามารถกระจายจากคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่ง ไปยังคอมพิวเตอร์อีกตัวหนึ่งได้โดยผ่านระบบสื่อสาร
คอมพิวเตอร์ เช่น โดยผ่านทางแผ่นบันทึกข้อมูล หรือ ระบบเครือข่าย
การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายถึงว่า ไวรัสได้เข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำ คอมพิวเตอร์ เรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากไวรัส ก็เป็นแค่โปรแกรม ๆ หนึ่ง การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียก
ให้ทำงานได้นั้นยังขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัส แต่ละตัวปกติผู้ใช้มักจะไม่รู้ตัวว่าได้ทำการปลุกคอมพิวเตอร์
ไวรัสขึ้นมาทำงานแล้ว
จุดประสงค์ของการทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไป
ทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่น ๆ ที่อยู่ในเครื่อง คอมพิวเตอร์ หรือ แสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอ เป็นต้น

ประเภทของไวรัส
1. บูตเซกเตอร์ไวรัส (Boot Sector Viruses) หรือ Boot Infector Viruses คือไวรัส
ที่เก็บตัวเองอยู่ในบูตเซกเตอร์ของดิสก์ การใช้งานของบูตเซกเตอร์ คือเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มทำงาน
ขึ้นมาครั้งแรก เครื่องจะเข้าไปอ่านบูตเซกเตอร์ โดยในบูตเซกเตอร์จะมีโปรแกรมเล็ก ๆ ไว้ใช้ในการเรียก
ระบบปฏิบัติการขึ้นมาทำงาน
การทำงานของบูตเซกเตอร์ไวรัสคือ จะเข้าไปแทนที่โปรแกรมที่อยู่ในบูตเซกเตอร์ โดยทั่วไปแล้วถ้าติดอยู่
ในฮาร์ดดิสก์ จะเข้าไปอยู่บริเวณที่เรียกว่า Master Boot Sector หรือ Partition Table ของฮาร์ดดิสก์นั้น
ถ้าบูตเซกเตอร์ของดิสก์ใดมีไวรัสประเภทนี้ติดอยู่ ทุก ๆ ครั้งที่บูตเครื่องขึ้นมา เมื่อมีการเรียนระบบปฏิบัติการ
จากดิสก์นี้ โปรแกรมไวรัสจะทำงานก่อนและเข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำงานตาม
ที่ได้ถูกโปรแกรมมา ก่อนที่จะไปเรียนให้ระบบปฏิบัติการทำงานต่อไป ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
2. โปรแกรมไวรัส (Program Viruses) หรือ File Intector Viruses เป็นไวรัสอีกประเภทหนึ่ง
ที่จะติดอยู่กับโปรแกรม ซึ่งปกติจะเป็นไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น COM หรือ EXE และบางไวรัสสามารถเข้าไปอยู่ใน
โปรแกรมที่มีนามสกุลเป็น SYS ได้ด้วย
การทำงานของไวรัสประเภทนี้ คือ เมื่อมีการเรียกโปรแกรมที่ติดไวรัส ส่วนของไวรัสจะทำงานก่อนและ
จะถือโอกาสนี้ฝังตัวเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำทันทีแล้วจึงค่อยให้โปรแกรมนั้นทำงานตามปกติ เมื่อฝังตัวอยู่
ในหน่วยความจำแล้ว
หลังจากนี้หากมีการเรียกโปรแกรมอื่น ๆ ขึ้นมาทำงานต่อ ตัวไวรัสจะสำเนาตัวเองเข้าไปในโปรแกรมเหล่านี้
ทันที เป็นการแพร่ระบาดต่อไป
นอกจากนี้ไวรัสนี้ยังมีวิธีการแพร่ระบาดอีกคือ เมื่อมีการเรียกโปรแกรมที่มีไวรัสติดอยู่ ตัวไวรัสจะเข้าไปหา
โปรแกรมอื่น ๆ ที่อยู่ติดเพื่อทำสำเนาตัวเองลงไปทันที แล้วจึงค่อยให้โปรแกรมที่ถูกเรียกนั้นทำงานตามปกติต่อไป
3. ม้าโทรจัน (Trojan Horse) เป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาให้ทำตัวเหมือนว่าเป็นโปรแกรมธรรมดา
ทั่ว ๆ ไป เพื่อหลอกล่อผู้ใช้ให้ทำการเรียนขึ้นมาทำงาน แต่เมื่อถูกเรียกขึ้นมา ก็จะเริ่มทำลายตามที่โปรแกรมมาทันที
ม้าโทรจันบางตัวถูกเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งชุด โดยคนเขียนจะทำการตั้งชื่อโปรแกรมพร้อมชื่อรุ่นและคำอธิบาย การใช้งาน
ที่ดูสมจริง เพื่อหลอกให้คนที่จะเรียกใช้ตายใจ
จุดประสงค์ของคนเขียนม้าโทรจันคือเข้าไปทำอันตรายต่อข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่อง หรืออาจมีจุดประสงค์เพื่อที่จะล้วง
เอาความลับของระบบคอมพิวเตอร์ ม้าโทรจันถือว่าไม่ใช่ไวรัส เพราะเป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาโดด ๆ และจะไม่มีการ
เข้าไปติดในโปรแกรมอื่นเพื่อสำเนาตัวเอง แต่จะใช้ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้ เป็นตัวแพร่ระบาดซอฟต์แวร์ที่มี
ม้าโทรจันอยู่ในนั้นและนับว่าเป็นหนึ่งในประเภทของโปรแกรมที่มีความอันตรายสูง เพราะยากที่จะตรวจสอบและ
สร้างขึ้นมาได้ง่าย ซึ่งอาจใช้แค่แบต์ไฟล์ก็สามารถโปรแกรมม้าโทรจันได้
4. โพลีมอร์ฟิกไวรัส (Polymorphic Viruses) เป็นชื่อที่ใช้เรียกไวรัสที่มีความสามารถในการแปรเปลี่ยนตัวเอง
ได้เมื่อมีการสร้างสำเนาตัวเองเกิดขึ้น ซึ่งอาจได้ถึงหลายร้อยรูปแบบ ผลก็คือ ทำให้ไวรัสเหล่านี้ยากต่อการถูกตรวจจัด
โดยโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใช้วิธีการสแกนอย่างเดียว ไวรัสใหม่ ๆ ในปัจจุบันที่มีความสามารถนี้เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
5. สทิลต์ไวรัส (Stealth Viruses) เป็นชื่อเรียกไวรัสที่มีความสามารถในการพรางตัวต่อการตรวจจับได้ เช่น
ไฟล์อินเฟกเตอร์ ไวรัสประเภทที่ไปติดโปรแกรม ใดแล้วจะทำให้ขนาดของ โปรแกรมนั้นใหญ่ขึ้น ถ้าโปรแกรมไวรัสนั้น
เป็นแบบสทิสต์ไวรัส จะไม่สามารถตรวจดูขนาดที่แท้จริงของโปรแกรมที่เพิ่มขึ้นได้
เนื่องจากตัวไวรัสจะเข้าไปควบคุมดอส เมื่อมีการใช้คำสั่ง DIR หรือโปรแกรมใดก็ตามเพื่อตรวจดูขนาดของโปรแกรม
ดอสก็จะแสดงขนาดเหมือนเดิม ทุกอย่างราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
6. Macro viruses จะติดต่อกับไฟล์ซึ่งใช้เป็นต้นแบบ (template) ในการสร้างเอกสาร (documents หรือ
spreadsheet) หลังจากที่ต้นแบบในการใช้สร้างเอกสาร ติดไวรัสแล้ว ทุก ๆ เอกสารที่เปิดขึ้นใช้ด้วยต้นแบบ
อันนั้นจะเกิดความเสียหายขึ้น

อาการของเครื่องที่พอจะคาดคะเนไว้ว่าติดไวรัส

1. การทำงานของคอมพิวเตอร์ช้ากว่าปกติ
2. คอมพิวเตอร์หยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
3. ข้อมูลหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
4. ส่งเสียง หรือข่าวสารแปลกออกมา
5. ไดร์ฟ หรือฮาร์ดดิสห์หยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
6. ไฟล์ในแผ่นดิสก์ หรือฮาร์ดดิสก์ถูกเปลี่ยนเป็นขยะ
7. เครื่องทำงานช้าลง ใช้เวลานานผิดปกติในการเรียกโปรแกรมขึ้นมาทำงาน
8. ขนาดของโปรแกรมใหญ่ขึ้น
9. วันเวลาของโปรแกรมเปลี่ยนไป
10. ข้อความที่ปกติไม่ค่อยได้เห็นกลับถูกแสดงขึ้นมาบ่อย ๆ
11. เกิดอักษรหรือข้อความประหลาดบนหน้าจอ
12. เครื่องส่งเสียงออกทางลำโพงโดยไม่ได้เกิดจากโปรแกรมที่ใช้อยู่
13. แป้นพิมพ์ทำงานผิดปกติหรือไม่ทำงานเลย
14. ขนาดของหน่วยความจำที่เหลือลดน้อยกว่าปกติ โดยหาเหตุผลไม่ได้
15. ไฟล์แสดงสถานการณ์ทำงานของดิสก์ติดค้างนานกว่าที่เคยเป็น
16. ไฟล์ข้อมูลหรือโปรแกรมที่เคยใช้อยู่ ๆ ก็หายไป
17. เครื่องบูตตัวเองโดยไม่ได้สั่ง
18. เซกเตอร์ที่เสียมีจำนวนเพิ่มขึ้นโดยมีการายงานว่าจำนวนเซกเตอร์ที่เสียมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า
แต่ก่อนโดยที่ยังไม่ได้ใช้โปรแกรมเข้าไปตรวจหาเลย

วิธีในการป้องกันไวรัส

แม้ว่าจะมีไวรัสหลายพันชนิด แต่ไวรัสส่วนใหญ่อยู่ในห้องทดลองคอมพิวเตอร์ มีไวรัสเพียงประมาณ
500 กว่าชนิดที่ยังอาละวาดอยู่ และส่วนใหญ่ไวรัสเหล่านี้ แทบจะไม่มีอันตรายต่อคอมพิวเตอร์และข้อมูล
เพียงแต่อาจจะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงด้วยการแย่งใช้หน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์
เป็นต้น อย่างไร ก็ตามมีวิธีง่าย ๆ 6 วิธีที่จะช่วยป้องกันเครื่องคอมพิวเตอร์และข้อมูลจากไวรัส
1. ใช้โปรแกรมตรวจจับและกำจัดไวรัส (anti-virus) อย่างไรก็ตามไม่มีโปรแกรมตรวจจับและ
กำจัดไวรัสโปรแกรมใดสมบูรณ์แบบ การเตือนที่ผิดพลาดว่ามีไวรัส ก่อให้เกิดความรำคาญพอ ๆ กับตัวไวรัสเอง
อย่าลืมว่าจะต้อง update โปรแกรมที่ใช้ตรวจจับและกำจัดไวรัสอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ครอบคลุมถึงไวรัสชนิดใหม่ ๆ
2. scan ทุกไฟล์บนดิสเกตต์และ CD-ROM ก่อนนำลง Harddisk
3. scan ทุกไฟล์ที่ download มาจากอินเตอร์เน็ต
4. scan ไฟล์หรือโปรแกรมที่ติดมากับ e-mail ก่อนที่จะเปิดอ่านหรือเก็บลงบนฮาร์ดดิสก์
5. เก็บเอกสารในรูปของ ASCII Text Mode หรือ Rich Text Format (RTF) โดยเฉพาะเอกสาร
ที่ใช้ร่วมกันบนเครือข่าย ทั้งสองรูปแบบจะไม่ save ส่วนที่เป็น macro ลงพร้อมกับเอกสารด้วยซึ่งทำให้
ปลอดภัยจาก macro viruses
6. back up ข้อมูลและโปรแกรมบนเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญอย่างเก็บ backup
ไว้ในฮาร์ดดิสก์ อันเดียวกันกับข้อมูลและโปรแกรมจริง

การตรวจหาไวรัส

1. การสแกนโดยใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัส (ตัวสแกนเนอร์) เช่น McAfee , Norton AntiVirus ,
Trend Micro ฯลฯ โดยมีการตรวจสอบรายชื่อไวรัสจากฐานข้อมูล ไวรัส มีข้อดีคือ เราสามารถตรวจสอบ
ข้อมูลที่มาใหม่ได้ทันทีว่าติดไวรัสหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสถูกเรียกขึ้นมาทำงานตั้งแต่เริ่มแรก
แต่มีจุดอ่อนคือ
a. ฐานข้อมูลที่เก็บรายชื่อไวรัส จะต้องทันสมัยอยู่เสมอ และครอบคลุมไวรัสทุกตัวมากที่สุดเท่าที่จะ
ทำได้เนื่องจากโปรแกรมตรวจหาไวรัสจะไม่สามารถ ตรวจจับไวรัสที่ไม่มีในฐานข้อมูลได้
b. ยากที่จะตรวจจับไวรัสประเภทโพลีมอร์ฟิก เนื่องจากไวรัสประเภทนี้เปลี่ยนแปลงตัวเองได้จึง
ทำให้ฐานข้อมูลไวรัสที่ใช้สามารถตรวจสอบได้ก่อนที่ไวรัสจะ เปลี่ยนแปลงตัวเองเท่านั้น
c. เนื่องจากไวรัสมีตัวใหม่ ๆ ออกมาอยู่เสมอ ๆ ผู้ใช้จึงจำเป็นต้องหาสแกนเนอร์ ตัวที่ใหม่ที่สุดมาใช้
d. มีไวรัสบางตัวเข้าไปติดในโปรแกรมทันทีที่โปรแกรมนั้นถูกอ่าน และถ้าสมมติว่าสแกนเนอร์ที่ใช้
ไม่สามารถตรวจจับได้ และถ้าเครื่องมีไวรัสนี้ติดอยู่ เมื่อมีการเรียกสแกนเนอร์ขึ้นมาทำงาน สแกนเนอร์
จะเข้าไปอ่านโปรแกรมทีละโปรแกรม เพื่อตรวจสอบ ผลก็คือจะทำให้ไวรัสตัวนี้เข้าไปติดอยู่ในโปรแกรม
ทุกตัวที่ถูกสแกนเนอร์นั้นอ่านได้
e. สแกนเนอร์รายงานผิดพลาดได้ คือ ฐานข้อมูลไวรัสที่ใช้บังเอิญไปตรงกับที่มีอยู่ในโปรแกรม
ธรรมดาที่ไม่ได้ติดไวรัส ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ฐานข้อมูล ไวรัส ที่ใช้มีขนาดสั้นไปก็จะทำให้โปรแกรมดังกล่าว
ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป

คำแนะนำและการป้องกันไวรัส

1. สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2. สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากแผ่นดิสก์
3. ป้องกันการเขียนให้แผ่นดิสก์
4. อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5. เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสและมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6. เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วง ๆ
7. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดดิสก์ลงเก็บใน Resource อื่น เช่น แผ่นดิสก์ , CD ฯลฯ
8. เตรียมแผ่นดิสก์หรือแผ่น CD ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสขึ้นมาทำงานได้
9. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น

วิธีแก้ปลาดาว

คงไม่ต้องบอกนะครับว่าปลาดาวคืออะไร ไม่บอกล่ะกัน สงสัยถามหลังไมค์ได้ครับ
1.เปิด notepad ขึ้นมาครับ
2.ก๊อบปี้ข้างล่างนี่ไปวางข้างใน

Windows Registry Editor Version 5.00

[HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows NT\CurrentVersion]
"CurrentBuild"="1.511.1 () (Obsolete data - do not use)"
"ProductId"="55274-640-1011873-23081"
"DigitalProductId"=hex:a4,00,00,00,03,00,00,00,35,35,32,37,34,2d,36,34,30,2d,\
31,30,31,31,38,37,33,2d,32,33,30,38,31,00,2e,00,00,00,41,32,32,2d,30,30,30,\
30,31,00,00,00,00,00,00,00,86,56,4e,4c,21,1b,2b,6a,a3,78,8e,8f,98,5c,00,00,\
00,00,00,00,dd,da,47,41,cc,6b,06,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,\
00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,38,31,30,32,36,00,00,00,00,00,00,00,b5,16,\
00,00,83,83,1f,38,f8,01,00,00,f5,1c,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,\
00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,00,66,e5,70,f3
"LicenseInfo"=hex:33,b7,21,c1,e5,e7,cd,4b,fd,7c,c6,35,51,fd,52,57,17,86,3e,18,\
d3,f4,8c,8e,35,32,7b,d1,43,8d,61,38,60,a4,ca,55,c9,9a,35,17,46,7a,4f,91,fc,\
4a,d9,db,64,5c,c4,e2,0f,34,f3,ea

[HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows NT\CurrentVersion\WPAEvents]
"OOBETimer"=hex:ff,d5,71,d6,8b,6a,8d,6f,d5,33,93,fd

3.หลังจากนั้นเซฟเป็นชื่ออะไรก็ได้แต่ต้องมี .reg ตามหลัง
4. หลังจากนั้นดับเบิ้ลคลิกไฟล์ที่เราเซฟไว้ครับผม

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

10 เคล็ดวิชาหลับสบาย

10 เคล็ดวิชาหลับสบาย !!


ใช้ชีวิตเปลี่ยนแนว เพื่อการนอนหลับที่เป็นสุขและหมดทุกข์เรื่องเครียดกังวล กับ 10 คำแนะนำเหล่านี้

1. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย

2. สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวลที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อยเพื่อลดอาการวิตกจริต และคิดซ้ำซาก

3. บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้นเปล่าประโยชน์ เนื่องจากสติ สัมปชัญญะ และความอ่อนล้าของร่างกายคืออุปสรรค ดังนั้น นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า

4. ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน

5. ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายบอดี้

6. เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง

7. ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน

8. ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรด อะมิโน Tryptophan จากโปรตีน

อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น

9. สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว

10. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลตระหว่างวัน เพราะกาเฟอีนที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว

สมองคืออาวุธที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อถูกนำมาใช้ในเวลาที่แจ่มใส ที่สุด ดังนั้น ถ้าใครยิ่งต้องการความก้าวหน้า และความเฉียบแหลม จึงยิ่ง

ต้องบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือการรู้จัก...ใช้เมื่อพร้อมถึงขีดสุด และหยุดดูแลเมื่อเต็มล้า

เขาพระวิหาร

เขาพระวิหาร

ดูเหมือนว่าในครั้งแรกนั้นคณะกรรมาธิการที่หลากหลายไม่ได้ยึดถือการประชุมอย่างเป็นทางการหลังจากวันที่ 19 มกราคม 1907 มันต้องไม่ลืมสิ่งนั้น ณ เวลาที่การประชุมกำลังจะมีขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการยุติการทำงานของคณะกรรมาธิการ ความ สนใจของทั้งสองประเทศ ในส่วนของผู้ซึ่งมีคุณวุฒิพิเศษในการกระทำและการพูดในนามของพวกเขาในเรื่อง นี้เป็นความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการตัดสินของสนธิสัญญาในวันที่ 23 มีนาคม 1907 ความเกี่ยวข้องที่สำคัญที่สุดโดยเฉพาะในกรณีของ Colonel Bernard มันยากที่จะสามารถเสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการของผลลัพธ์ของการแบ่งเขตแดนที่พวกเขาทำสำเร็จไป

เวที สุดท้ายของการแบ่งเขตแดนเป็นการเตรียมและการพิมพ์แผนที่ สำหรับการบริหารของเทคนิคการทำงาน รัฐบาลไทยซึ่งเวลานี้ยังไม่มีความพร้อมเพียงพอ ตามที่ได้ประกาศเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสต้องทำแผนที่แบ่งพรมแดน มันชัดเจนจากการเปิดรายงานการประชุมของการประชุมคณะกรรมการครั้งแรกเมื่อวัน ที่ 29 สิงหาคม 1905 คำขอร้องนี้ได้รับการยอมรับของคณะกรรมาธิการไทยซึ่งแน่นอนว่าได้ก่อให้เกิดขึ้น ในหนังสือของวันที่ 20 สิงหาคม 1908 ซึ่ง Siamese Minister ใน ปารีสได้ติดต่อถึงรัฐบาลในตอนท้ายเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการทำแผนที่ โดยอ้างอิงถึง “the Mixed Commission of Delimitation of the frontiers and the Siamese Commissioners” ที่เป็นคำขอร้องของคณะกรรมาธิการฝรั่งเศสเตรียมแผนที่ของพรมแดนส่วนต่างๆนี่เป็นนโยบายของไทยที่จะแสดงโดยข้อเท็จจริงในครั้งที่สอง(1907) สมาชิก คณะกรรมาธิการจากฝรั่งเศสถูกขอร้องโดยคณะกรรมาธิการจากประเทศไทยในการเขียน แผนที่ให้สำเร็จ สามารถดูได้จากรายละเอียดของการประชุมวันที่ 6 มิถุนายน 1908

รัฐบาลฝรั่งเศสได้วางแผนการทำงานโดยทีขอเจ้าหน้าที่สี่คน สามคนได้แก่ Captain Tixier, Kerler,Batz เป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการชุดแรก นี่เป็นทีมงานที่อยู่ภายใต้แนวทางทั่วไปของ Colonel Bernard และในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงของปี 1907 มัน สมบูรณ์ไปสิบเอ็ดแผนที่ซึ่งครอบคลุมพรมแดนส่วนใหญ่ระหว่างประเทศไทยและอินโด จีน รวมทั้งส่วนสำคัญในที่เสนอในคดี แผนที่ที่พิมพ์และเผยแพร่โดยผู้เชี่ยวชาญการเขียนแผนที่ของฝรั่งเศส คือ H.Barrere

แผนที่ สิบเอ็ดอันอยู่ในระหว่างวิธีการบอกไปยังรัฐบาลไทย ที่เริ่มร้องขอแผนที่โดยศาลจะพิจารณาทีหลังตามสภาวการณ์ของการสื่อสารและการ อนุมานจากมัน แผนที่ได้มีการไล่ตามเหตุการณ์ต่างๆ เนื่องจากแต่ก่อนพื้นที่พรมแดนที่ได้แสดงไว้โดยไทย ในของ Treaty of March 1907 ตอนนี้ได้กลายเป็นตั้งอยู่ในกัมพูชา ซึ่งประเทศไทยไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธมัน ความสนใจในแผนที่ของไทยยังคงมีอยู่ ท่ามกลางส่วนหนึ่งของ Dangrek ซึ่ง วัดนั้นตั้งอยู่ และบนนั้นมีร่องรอยพรมแดนที่ทำให้เห็นผลของการทำงานในการแบ่งเขตแดนและแสดง ให้เห็นคาบสมุทรของเขาพระวิหารกับพื้นทีวัด ซึ่งอยู่บนพื้นที่กัมพูชา ถ้าการแบ่งพรมแดนทำสำเร็จในความเกี่ยวข้อง Eastern Dangrek หรือเจตนาในการกำหนดสันปันน้ำ แผนที่นี้ประสงค์ที่จะแสดงให้เห็นสันปันน้ำนั้น แผนที่ได้รวบรวมข้อมูลโดยกัมพูชา Annex I สู่ Memorial และกลายมาเป็นความรู้ในคดี(และจะอ้างอิงถึงในที่นี้) เช่นเดียวกับแผนที่ Annex I

มันอยู่บนแผนที่นี้ซึ่งกัมพูชาเชื่อมั่นว่ามันสนับสนุนการอ้างกรรมสิทธิ์ในอธิปไตยของเขาที่มีเหนือเขาพระวิหาร ใน ทางกลับกันประเทศไทยได้อ้างหลักฐานที่มีอยู่บนแผนที่ ตามเหตุผล ข้อแรก แผนที่นั้นไม่ได้ทำโดยคณะกรรมาธิการและไมได้มีการเข้าปกอย่าเป็นทางการ ข้อที่สอง แผนที่เขาพระวิหารที่ได้แสดงออกมานั้นผิดพลาด มาสามารถอธิบายได้ในพื้นฐานของการใช้ของการตัดสินในการปรับเปลี่ยนซึ่งคณะ กรรมาธิการเป็นเจ้าของเอง นี่เป็นข้อผิดพลาดตามที่ประเทศไทยได้โต้แย้ง เส้นแบ่งพรมแดนที่แสดงบนแผนที่ไม่ใช่สันปันน้ำที่ถูกต้องและเส้นที่วาดขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสันปันน้ำที่แท้จริงต้องถูกเอามาแทนที่ และตอนนี้มันตั้งอยู่แล้วพื้นที่วัดจึงอยู่ในประเทศไทย มันเป็นข้อต่อสู้ของประเทศไทยที่ไม่เคยยอมรับแผนที่หรือเส้นพรมแดนที่ชี้บนแผนที่ ถ้าประเทศไทยไม่ยอมรับแผนที่ ไทยทำได้เพียงแค่ภายใต้ข้อนี้และเพราะว่าความเชื่อที่ผิด(ซึ่งไทยเชื่อมั่น)

เส้นแผนที่นั้นถูกต้องและสอดคล้องกับสันปันน้ำแล้ว

ศาล จะดูปัจจัยสำคัญ จำกัดตัวมันเองในการโต้แย้งอันแรก อ้างหลักฐานเหตุผลซึ่งศาลพิจารณาด้วยความถูกต้อง เช่นแผนที่นั้นไม่เคยพิสูจน์โดยคณะกรรมาธิการชุดแรก ดังนั้นคณะกรรมาธิการจึงหยุดการทำงานบางเดือนก่อนจะทำแผนที่ออกมา บันทึกนั้นไม่ได้แสดงออกมาถึงแผนที่และเส้นซึ่งเป็นพื้นฐานของการตัดสินใจ หรือคำแนะนำที่ให้โดยคณะกรรมาธิการสู่การสำรวจเจ้าหน้าที่ขณะที่ยังคงทำ งานอยู่ เป็นที่แน่นอนว่าแผนที่ต้องมีพื้นฐานของแหล่งที่มาและศาลคิดว่านั่นไม่สามารถเป็นเหตุผลที่สงสัยว่ามันเป็นฐานของการทำงานใน Dangrek เป็น ส่วนหนึ่งในชุดแผนที่ของพื้นที่การแบ่งพรมแดนโดยรัฐบาลฝรั่งเศสที่ทำขึ้น ด้วยการทำแผนที่ที่เชี่ยวชาญในการตอบคำถามที่ทำโดยเจ้าหน้าที่ไทย พิมพ์และเผยแพร่โดยบริษัทปารีสที่มีชื่อเสียง แผนที่ทั้งหมดชัดเจนในตัวมันเอง มันมีคุณสมบัติอยู่ในตัวมันเองและต้นกำเนิดของมันก็เปิดเผยและเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามศาลต้องสรุปเรื่องนี้ นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นและปัจจัยหนึ่งของการสร้าง มันไม่ใช่การเขียนที่ได้ทำไว้เรียบร้อยแล้ว

ประเทศ ไทยโต้แย้งเหตุผลในช่วงเวลาที่ไม่อยู่ของการพิสูจน์แบ่งพรมแดนและรับเอามา เป็นของตนโดยคณะกรรมาธิการหรือบนฐานของการแนะนำ เส้นแบ่งเขตแดนจะต้องเป็นเช่นนี้โดยจุดเด่นของ Article I of the Treaty of 1904 ตามสันปันน้ำอย่างเคร่งครัด และนี่เป็นเส้นที่ทำให้เขาพระวิหารอยู่ในประเทศไทย ขณะที่คณะกรรมาธิการได้ตัดสินจากสันปันน้ำเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความผิดปกติและรายงานการแบ่งพรมแดนทั้งหมดด้วยความแน่นอน ประเทศ ไทยโต้แย้งการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมถึงที่ตั้งเขาพระวิหารในกัมพูชา ที่มีขอบเขตดีกว่าโดยคณะกรรมาธิการต้องตัดสินใจด้วยตัวเองโดยปราศจากการอ้าง อิงถึงคุณสมบัติพิเศษของรัฐบาล

สาระ สำคัญในการโต้แย้ง เกิดขึ้นโดยตัวของมันเอง ศาลพิจารณาว่าสิ่งเหล่านั้นไม่พบกับประเด็นที่แท้จริงรวมอยู่ แม้ถ้าไม่มีการกำหนดเขตของพรมแดนในส่วนตะวันออกของ Dangrek ที่ได้รับการพิสูจน์และยอมรับโดยคณะกรรมาธิการ มันจะเปิดสู่การยอมรับการแบ่งเขตแดนอย่างเห็นได้ชัด ในการทำงานของสมาชิกคณะกรรมาธิการ ความสนใจที่เปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่มีอยู่เดิมจากสันปันน้ำซึ่งรวมอยู่ในการ แบ่งพรมแดน ดังนั้นตามข้อโต้แย้งของไทย การแบ่งพรมแดนที่ชี้บนแผนที่ Annex I ไม่ใช่คณะกรรมาธิการตัดสิน นี่ไม่ใช่จุดที่อธิบายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดที่เขาพระวิหารในการตัดสินของคณะกรรมาธิการว่าใช่หรือไม่ จุดที่แน่นอนในคืออำนาจของรัฐบาลในการยอมรับการเปลี่ยนแปลง

คำถามที่แท้จริง ซึ่งมีความจำเป็นในคดีนี้คือ คู่ความไม่ยอมรับแผนที่ Annex I และเส้นแบ่งปันเขตแดนบนนั้น เช่นเดียวกับการเสนอผลลัพธ์ของการทำงานของการเปลี่ยนแปลงเขตแดนในส่วนเขาพระ วิหาร ดังนั้นจึงมีการปรึกษากันขึ้น

ประเทศ ไทยปฏิเสธในสิ่งที่เคยวิตกกังวลและได้ยอมรับในบางส่วนเท่านั้น ไม่ได้ตอบในทัศนคติที่จะเกิดขึ้น ไทยรักษาวิธีของการปฏิบัติไว้ รวมทั้งล้มเหลวในเป้าหมาย ไม่สามารถมีข้อมูลเพียงพอที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเขาพระวิหารจากสันปันน้ำโดย Article I of the Treaty of 1904 ดังนั้นจึงส่งผลให้อำนาจอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร เป็นของกัมพูชา

ศาลเห็นว่าเหตุผลมีความแตกต่างกัน มันชัดเจนอยู่แล้วจากบันทึกที่ประกาศและตีพิมพ์ออกไปของแผนที่ทั้งสิบเอ็ดอันที่ได้ถูกอ้างอิง

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

15 ประเภท ของคนเล่น MSN

"คนที่เล่น MSN มันแยกเป็นได้กี่ประเภทกันนะ ?"

ประเภทแรก : อกหักรักคุดตุ๊ดเมิน เกย์ไม่เอา ทอมไม่แล กระเทยทิ้ง

ประเภทนี้หลายๆคนคงจะเห็นกันบ่อยคือชื่อที่ตั้งใน MSN จะเป็นอะไรที่เน่ามากๆ ไม่เคยคิดที่จะ

ใช้ชื่อแบบอื่นเลย ในหัวมีแต่ความรักลอยเต็มหัว ไม่มีเวลาจะไปคิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องรักๆใคร่ๆ

ตัวอย่างชื่อที่ใช้ก็เช่น "ฉัน เป็นห่วง เธอ ..มากเลยรุ้มั้ย" , "อีกไม่ช้าไม่นานใจเธอจะต้องเปลี่ยนไป

จากฉัน", "หรือเราจะรักกันไม่ได้อีกแล้ว" , "ขาดเธอเหมือนขาดใจ" พอเถอะค่ะ.....จะอ้วกแล้ว


ประเภทที่ 2 : Away ทั้งชาติ

ประเภทนี้คือตลอดเวลาที่ออน MSN จะมีสถานะเป็น Away ตลอด Online = ตั้งสถานะ Away

แต่จริงๆแล้วก็อยู่หน้าคอมฯ หรือบางทีอาจจะไม่อยู่เลย......


ประเภทที่ 3 : สิ้นคิด

สมกับชื่อประเภทที่บอกไปข้างต้นเพราะพวกเขาเหล่านี้จะตั้งช่อใน MSN โดยใช้ชื่อที่สั้นๆ เช่น

ใส่ "........" เป็นชื่ออย่างเดียว หรือ "- -" รึไม่ก็ทศนิยมตัวเดียว แทบจะเห็นชื่อของคนประเภทนี้

เป็นสีขาวหรือว่างเปล่าไปเลยเวลามองใน List รายชื่อ ซึ่งที่ตั้งชื่อแบบนี้อาจจะเป็นเพราะอยู่ใน

อาการจิตตก....หรือขี้เกียจพิมพ์....หรือนึกไม่ออกว่าจะใช้ชื่ออะไรดี


ประเภทที่ 4 : หัวศิลป์

ใครที่จะอ่านชื่อของมนุษย์ MSN ประเภทนี้ขอให้ทำใจเพราะบางทีตัวอักษรที่พวกเค้าใช้ตั้งในชื่อนั้น

จะไปคัดสรรค์มาอย่างดีจาก Character Map ซึ่งศิลป์ขนาดที่ว่าอ่านกันไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว

ชื่อที่มนุษย์ MSN ประเภทนี้ใช้ก็เช่น "Ś ┬ ŕ ά ỳ Ć ά ┬ ć Ћ Ψ" (ก็ชื่อเรานี่แหละค่ะ ฮา~)


ประเภทที่ 5 : ออน MSN ผ่านมือถือ

มนุษย์ MSN ประเภทนี้ชอบออน MSN ผ่านมือถือ แต่พวกเขาเหล่านี้จะไม่ Chat หรือยินดีอยาก

ให้มีคนทักมาหาเลย เพราะเวลาเปิดดูข้อความ/ส่ง MSN ผ่านมือถือมันต้องเสียตังค์..... อีกเหตุผล

นึงก็คือในมือถือมันพิมพ์ยาก+มันไม่แสดงผลชื่อเป็นสีหรือตัวหนาบางทำให้ชื่อคนที่ส่ง
ข้อความมา

นั้นยาวเหยียด.....ก็มันไม่มี MSN Plus นี่นา


ประเภทที่ 6 : ออน 24 ชม.

พวกเค้าคือมนุษย์ MSN อย่างแท้จริงหากพวกเค้ายังมีชีวิต หากพวกเค้าต่อเน็ท จะต้องออน MSN

เสมือนว่าชั้นยังมีตัวตนชั้นยังไม่หายไปไหน เมื่อคุณออน MSN ทุกครั้งคุณจะเห็นพวกเขาเหล่านี้ Online

อยู่ใน List คุณเสมอๆจนน่ากลัว....ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย ค่ำ จนถึงตี 4 ตี 5 ยันเช้าเลยก็มิปาณ แต่พวกเขา

จะอยู่หน้าคอมรึเปล่าก็อีกเรื่องนึง


ประเภทที่ 7 : Busy ทั้งชาติ

ประเภทนี้จะต่างกับ Away ก็ตรงที่พวกเค้าอาจจะทำอะไรที่เป็น Full Screen อยู่ซึ่งระบบจะขึ้น

Busy ให้อัตโนมัติ(ถ้าตั้งค่าเอาไว้) ทักหาพวกเขาไปก็จะไม่ตอบกลับรึอาจจะตอบกลับมาว่า

"ไม่ว่างเล่นเกมอยู่" ซึ่งนี่คือเหตุผลหลักๆของมนุษย์ MSN ประเภทนี้


ประเภทที่ 8 : สบถ/บ่น อย่างเดียว

เหมือนกับชื่อประเภทที่กล่าวมาคือมนุษย์ MSN ประเภทนี้จะตั้งชื่อ MSN ไว้ระบายความเครียด

บ่นรึสบถเพียงอย่างเดียว แล้วออนให้ชาวบ้านเห็นซึ่งเวลาที่เห็นชื่อมนุษย์ประเภทนี้ใน List รายชื่อ

จะชวนให้รู้สึกแย่/รำคาญ ได้ไม่มากก็น้อย และถ้าหากทักไปขณะที่พวกเขาใช้ชื่อแบบนี้อยู่ คุณอาจจะ

โดนพวกเค้าสบถ/บ่นกลับมอย่างทันควัน เพราะขณะนั้นพวกเค้าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก


ประเภทที่ 9 : Chat กระจาย คีย์บอร์ดกระเด็น MSN ค้าง

ประเภทนี้เมื่อพวกเขาเข้า M สิ่งที่จะต้องทำคือทักทุกคนที่ขวางหน้าและ Chat อย่างเมามันส์ ในราย

ชื่อ MSN ของมนุษย์ประเภทนี้จะมีรายชื่อที่ Add ไว้เยอะมากมายไม่ต่ำกว่า 100 รายชื่อ บ้างก็อาจจะ

มากถึงหลายร้อยเลยทีเดียว ที่มีมากมายขนาดนี้เพราะพวกเค้าพยายามที่จะหาคนคุยด้วยอยู่ตลอดเวลา


ประเภทที่ 10 : หน้าม่อ/หูดำ/หน้าเป็นอลูมิเนียม

ประเภทนี้จะเป็นเฉพาะผู้ชายซะส่วนใหญ่และพวกนี้จะไม่ต่างจากประเภทที่ 9 เท่าไหร่นัก ต่างกันตรงที่

แทนที่พวกเขาจะ Chat แต่กลับเป็นม่อแทน พวกนี้จะหมายหา Mail ของผู้ ญ เท่านั้น ในรายชื่อพวก

เค้าแทบจะไม่มีผู้ชายเลย ซึ่งเมื่อทักไปหาคนพวกนี้แล้วถามว่าได้ Mail มายังไง พวกเค้าก็มักจะตอบว่า

"ได้มาจากใน Exteen กั๊บ" , "ในบอร์ดกั๊บ" , "เพื่อนให้มากั๊บ" ซึ่งชะตากรรมพวกนี้จะจบลงด้วย


"Block and Delete"



ประเภทที่ 11 : Infecter !!! (ตัวแพร่เชื้อโรค)

ประเภทนี้อันตรายกว่าประเภทที่ 10 มาก เพราะพวกเค้าเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นพวกใช้คอมฯไม่เป็น

รึไม่ก็เสพย์ติดการเปิดเว็ปโป๊ จนทำให้ Spyware และ Virus หมักหมมอยู่ในตัวเครื่องจนมันแพร่

ออกมาทาง MSN ของพวกเค้าคอยส่งความรำคาญให้ชาวบ้านแบบสุดๆ ชะตากรรมไม่ได้ต่างไปจาก

ประเภทที่ 10 คือ "Block and Delete"



ประเภทที่ 12 : ปัญญาอ่อนในโลก Cyber (Cyber Syndrome)

ประเภทนี้เป็นประเภทที่สื่อสารได้ยากมากที่สุด พวกเค้าเหล่านี้ไม่มีความสามารถในการเขียนหรือพิมพ์

แต่อย่างใดใน MSN หรือในโลกของจอมอนิเตอร์เลยเสมือนบุคคลพิการทางสมองก็มิปาน ถามไปก็ตอบ

ไม่เป็นศัพท์ ไม่ได้ความ คนละเรื่อง จนต้องใช้วิธีโทรศัพท์ไปคุยแทน แต่จริงๆแล้วก็เป็นคนปกตินี่แหละ ?


ประเภทที่ 13 : นักปราชญ์

ถ้าได้อ่านชื่อ MSN ของคนประเภทนี้คุณจะตรัสรู้เป็นพระอรหันต์เลยก็มิปาณ เพราะชื่อ MSN

ของพวกเค้าเหล่านี้จะเป็นปรัญญาหรือคำคม คติธรรม อุดมการณ์ไปซะหมด


ประเภทที่ 14 : มือใหม่หัดเล่น MSN

ก็อย่างที่ชื่อบอกพวกเค้าจะทำอะไรไม่ค่อยเป็นไม่ว่าจะส่งไฟล์ แชร์ไฟล์ แชร์ไวท์บอร์ด เปิดเว็ปแคม

ฯลฯ เพราะพวกเค้าส่วนมากจะไม่ใช่คนที่เล่นคอมฯเป็นชีวิตหรือเป็นคนที่พึ่งหัดเล่นคอมฯ จึงไม่ค่อยเข้า

ใจการพูดจาหรือสังคมในเน็ทมากนัก แล้วที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือพวกเค้าเหล่านี้ยังไม่มีสัมมาคาราวะเท่าที่

ควร เพราะพวกเค้าส่วนมากคิดว่าการที่เค้าพิมพ์ผ่านจอมอนิเตอร์กับการพูดคุยกันในโลกของความจริงมัน

ต่างกันจึงพูดจาไม่ค่อยมีมารยาทนัก เช่น รู้ว่าคุยกับรุ่นพี่ก็ยังพูด "เออ" , "รู้แล้ว" พูดจาไม่มีหางเสียงเป็นต้น


ประเภทที่ 15 : เกรียน

ประเภทสุดท้ายนี้ไม่อยากจะให้คำจำกัดความให้ปวดหัวเพราะทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว.....ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิต

ประเภทนี้ได้ Mail ของพวกเราชาวมนุษย์ไป Add ได้อย่างไร.....


ที่มา : http://straycatchy.exteen.com/20080411/15-msn


MusicPlaylistRingtones
Create a playlist at MixPod.com

คำคม ขงเบ้ง

*เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต *

*ถ้าคุณหัวเสีย คุณจะเสียหัว *

*อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม *

*อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย *

*ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น *

*เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน" *

*นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ *

*ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น *

*จริงคือลวง ลวงคือจริง ถ้าคุณคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียง 2 ทาง จงแน่ใจได้ว่าเขาจะเลือกทางที่ 3 *

*ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี *

*มังกรถ้าไร้หัว หางก็ตีกันเอง ถ้าคานบนเอน คานล่างก็เบี้ยว ถ้าเสาเอกเฉียง เสาโทก็เฉียง*

*คนมองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว*

*ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี*

*ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย *

*เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร *

*เมื่อเสียหลักก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลึกใส่ปลีกหาง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆทำ ค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ *

*ปลาใหญ่มักตายน้ำตื้น*

*เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต *



*เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา ท่านอาจจะตัดสิน ใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้ *

*การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น*
*ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของ คนอื่นอย่างเต็มที่ *

*อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น *

*เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร *

*เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี *

*คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย*
*ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไป ยังอนาคต*

*อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย*

*ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี *

*ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดทำการใหญ่ ใจคอต้องเหี้ยมหาญ *

*ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า *

*เป็นแม่ทัพแล้วไม่กล้าตัดหัวคน เป็นแม่ทัพที่ดีไม่ได้*

*คนฉลาดปราดเปรื่อง เขานั่งนิ่งสงวนคม *

*ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่า ๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน *

*ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน *

*ความรู้ คือ อำนาจ *

*นั่งภูดูเสือ กัดกัน*

*เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉะนั้นจึงอย่าประมาท *

*ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้ *

*ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน*

*น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น*

*ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่ *

ความหมายของเลขบัตรประจำตัวประชาชน

อยากรู้มั้ย ว่าแต่ละตำแหน่งหมายถึงอะไร ค้นหาคำตอบได้ที่นี่


โดย ความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเรียนหรือทำอะไร ตัวเลขก็ล้วนมีเอี่ยว หรือมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนเราเสมอ และในทางกลับกัน ตัวเลขบางตัวอาจจะทำให้เรามีความสุขขึ้นด้วยซ้ำ เช่น ตัวเลขเพิ่มขึ้นของเงินเดือนหรือโบนัส ตัวเลขในบัญชีรายรับ ตัวเลขมูลค่าเพิ่มของหุ้นที่เราซื้อ ฯลฯ ยกเว้น ตัวเลขดอกเบี้ยเงินกู้ ที่งามโดยไม่ต้องรดน้ำ หรือตัวเลขยอดหนี้ที่ยังไม่จ่าย ส่วนตัวเลขที่น่ารังเกียจอีกตัว คือ ตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นของสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงาน เป็นต้น



นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมี “ตัวเลข” ที่เกี่ยวพันกับความเชื่อต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศอีกหลายตัว เช่น คนไทยถือว่า เลข 9 เป็นเลขมงคล เพราะออกเสียงว่า “เก้า” ที่พ้องกับคำว่า “ก้าว” อันหมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ ในปัจจุบัน เราจึงเห็นคนไทยจำนวนไม่น้อย ไปทัวร์ไหว้พระ 9 วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล จนได้กลายมาเป็นการ “ทำบุญ” อีกรูปแบบที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย



สำหรับฝรั่ง เขาจะถือว่า เลข 13 เป็นเลขอาถรรพ์ หรือเลขอัปมงคล หรือเรียกกันว่า ลัคกี้นัมเบอร์ (Lucky number) สาเหตุมาจากอาหารมื้อสุดท้าย ของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่า เดอะลาสซับเปอร์ (The Last Supper) นั้น มีสาวกร่วมโต๊ะพร้อมกับพระองค์ นับรวมแล้วได้ 13 คนพอดี ครั้นวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันศุกร์ พระองค์ก็ถูกจับตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ เขาจึงถือว่าวันศุกร์ที่ตรงกับวันที่ 13 เป็นวันโชคร้าย


แม้ว่า เลข 13 จะเป็นเลขอาถรรพ์ของฝรั่ง แต่คนไทยโดยทั่วไป ไม่ได้ถือกับตัวเลขดังกล่าว และที่น่าสนใจคือ มี เลข 13 ที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคนไทย ซึ่งเชื่อว่า คงมีคนอีกไม่น้อยไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ เลขประจำตัวประชาชนในบัตรประชาชน หรือที่เดี๋ยวนี้เรียก สมาร์ทการ์ด ที่มีด้วยกัน 13 หลัก และแต่ละหลักก็มิใช่แค่เป็นเพียงจำนวนนับธรรมดาๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้ ดังนี้


สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้



หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่



ประเภท ที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่น เด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527 เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัว เมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี



ประเภท ที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18 มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้าน และเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า


ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527) หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น 3 1001 01245 29 9


ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001 01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง


การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำ ตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ


ประเภท ที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้ แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ กลายเป็น 5 1001 01245 29 9


ประเภท ที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6 เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12


ประเภท ที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133


ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 เช่น 8 1018 01234 24 7


คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้


ต่อ ไปคือ หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะหมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข ซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่า คุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10๐ ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร ส่วนเลข 01 ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น


สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับ หรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึง เล่มที่ของสูติบัตร (ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะไปปรากฎในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น


หลัก ที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ


หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที


สำหรับ เลขตั้งแต่หลักที่ 6 ถึง 13 นี้เป็นการจัดหมวดหมู่ และเรียงลำดับบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียนในแต่ละท้องที่ ซึ่งเราก็คงไม่ต้องรู้รายละเอียดอะไรลึกไปกว่านี้ เพราะรู้แล้วอาจจะงงเปล่าๆ


เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ตัวเลข 13 หลักที่เป็นหมายเลขในบัตรประชาชน หรือเลขประจำตัวประชาชนของเราแต่ละคนนี้ จะไม่มีการซ้ำกันเลย ผิดกับชื่อหรือนามสกุล ยังมีซ้ำกันได้ และจะเป็นเลขประจำตัวเราจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน หรือยกให้คนอื่น และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ในอนาคตจะต้องมีการเติมเลข อย่างเลข 8 เข้าไปอีก เพราะเลขไม่พอใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เขาก็บอกว่าคงอีกนาน อาจจะถึง 100 ปีโน่น เพราะการที่เขาแยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ และยังแยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงรายละเอียดไปเป็นกลุ่มๆในแต่ละประเภทอีกนั้น ทำให้เพดานหรือช่วงตัวเลขมีความห่างมาก จนสามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมาก และหากใครสงสัย หรือมีปัญหาในเรื่องทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส บัตรประชาชน ก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง โทร. 1548


ตัว เลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น เป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้ แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้นใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน “ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย” ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้

ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม

ภาษาใต้วันละคำ

ลองแล หมายถึง การชักชวนให้ลองทำ ,ลองดู

ไม่ปรือ หมายถึง ไม่เป็นไร

หรอยจังหู หมายถึง อาจหมายถึง การชื่นชอบ การกระทำขอลคนอื่น หรือรสชาติของอาหาร

หม้าย หมายถึง ไม่

ไตร หมายถึง เป็นเหมือนกับประโยตคำถามที่ว่า ทำไม

เกือก หมายถึง รองเท้า

ตีน หมายถึง เท้า

แหลง หมายถึง พูด

ฉัด หมายถึง เตะ

หนน หมายถึง ถนน

รถเครื่อง หมายถึง รถจักรยานยนต์

รถถีบ หมายถึง รถจักรยาน

นากา หมายถึง นาฬิกา

ลอกอ หมายถึง มะละกอ หรือ อาจจะใช้แทนคำพูดแบบหลอกลวง หรือสิ่งที่เป็นไปม่ได้ เช่น พูดลอกอเปล่า ๆ

จันหวัน หมายถึง ทำอะไรที่แปลก ๆ แหวกแนวกว่าคนอื่น หรือนอกลู่นอกทาง

ช้อม ๆ หมายถึง คนสติไม่ดี

เค่อ ๆ >หมายถึง ตนโง่

เมรอ หมายถึง (อ่านควบกลํ้ากัน) คนที่ทำอะไรที่ทำอะไรเพี้ยนๆ

หูเป็นท้างถึ้ง หมายถึง หูเป็นนํ้าหนวก

แขบ ๆ หมายถึง เร็ว ๆ

ล๊อกแล๊ก หมายถึง การทำอะไรที่ไม่จริงจัง เช่น เธอทำไอไหรล๊อกแล๊กจัง

กะลุย ก่าลุย วิเศษณ์ มาก , มากมาย

เกล็ดทวน แกล่ดทวน นาม. งูกะปะ ,เรียกอีกอย่าง "งูนอนวัน"

กล้วยพองลา กล่วยพ่องลา นาม. กล้วยตานี

กัด กัด นาม อวน

เกียงแกป เกียงแก่ป นาม. ไฟฉาย

ขนมค่อม หนุ้มขอม นาม. ขนมสอดไส้

ขอย ข้อย กริยา เพี้ยนมาจาก "สอย" สอย

ขี้พร้า คี๊ผร่า นาม. ฟักเขียว

ขี้รั่ว คี๊หรัว กริยา ท้องเสีย

แข็ง แข้ง วิเศษณ์ มาจาก "ขยันขันแข็ง" ขยัน , มาก

แขบ แข้บ วิเศษณ์ รีบ

คง คง นาม. มาจาก "จารุก็อง"(มาลายู) ข้าวโพด

ครด คร็อด กริยา แทะ , กัดกิน

เคย เคย นาม. มาจาก "เยื่อเคย"(ราชาศัพท์) กะปิ

แคว็ก แคว่ก กริยา เพี้ยนมาจาก "ควัก"(ไทยเดิม) ควัก

จะโกย จะโกย นาม. ปาท่องโก๋

จัง,จังหู จัง วิเศษณ์ มาก , มากมาย

จ้านจม จ่านจม วิเศษณ์ มาก , มากมาย

จี จี กริยา หมกไฟ

จู้จี้ จู่จี่ นาม. คล้ายคำ "กุดจี่" 1. แมงกุดจี่

วิเศษณ์ มืดเหมือนสีของแมงกุดจี่ 2. ขยายคำว่า "มืด" เช่น หมืดจู่จี่

จวน จวน กริยา จากคำ "จวนตัว" (เห็นแล้ว) พบ เจอ

จ้อน จ่อน นาม. กระแต

ฉ็อง ฉ้อง กริยา 1. เป็นสัด (ใช้กับสัตว์)

วิเศษณ์ 2. กลิ่นเหม็นเข้าจมูก , ฉุน

ฉาน ฉ้าน สรรพนาม. เพี้ยนมาจาก "ฉัน" ใช้เรียกตนเอง

ฉิด , หิด ชิด , ฮิด วิเศษณ์ ภาษาไทยเดิม เล็กนิดเดียว เช่น "ตัวถาวชิด"

ฉูฉี ฉู้ฉี้ กริยา เป่ายิงฉุบ

เฉียง เชี่ยง กริยา ฟันด้วยของมีคม เช่น ขวาน

ชะ ช่ะ นาม. ข้อง , ตะกร้า

ชั้น ฉั่น นาม. เรียกตามลักษณะปิ่นโต ปิ่นโต

ชันชี ชันชี กริยา จากภาษามลายู สาบาน

ชุ่น ชุ๋น , ฉุน กริยา อาการไม่อยู่นิ่ง , ซน

เชือน เชือน วิเศษณ์ ฟั่นเฟือน , เลอะเลือน

ด้ง ด่อง นาม กระด้ง

ด้น ด่อน วิเศษณ์ ดุ

ดม ดม กริยา เดา(ทาย)เอา , เอาของหนักทุ่มใส่

ดุม กริยา ดม การดมด้วยจมูก เช่น ดุมแล (ดมดู)

ดักอีเดียม ดั่กอีเดียม กริยา จั๊กกะจี้

ดานเฉียง ดานเชี่ยง นาม. เขียง

ดีปลี ดีปลี นาม. พริกชี้ฟ้า , พริกขี้หนู

ต่อเช้า ตอเฉ่า สรรพนาม. พรุ่งนี้

ตอแต ต่อแต นาม. กะถิน

ต่อโพระ ต่อโผระ สรรพนาม. พรุ่งนี้

ตังหน ดังห้น นาม. วุ้นเส้น

ตู้ตี้ ตู่ตี่ กริยา เอามือจี้ที่รักแร้

เติ้น เติ่น สรรพนาม. คุณ , ท่าน (ใช้เรียกผู้ที่อาวุโสกว่า)

แตวา แตวา สรรพนาม. เมื่อวาน

โตง โตง กริยา กระโดดคว้าของ(ผลไม้)ที่อยู่สูง

ถ้า , ท่า ถ๊า กริยา มาจากคำ "คอยท่า" รอ , คอย

ถ่านเกียง ถ้านเกียง นาม. ถ่านแก๊ส

เถ้าทั่ม เถ้าทั่ม วิเศษณ์ มาจาก "เฒ่า" (ผู้ใหญ่) ใหญ่โต

ท่าว ถาว กริยา เลิก , หยุด เช่น ถาวข๊าว คือ อิ่ม หยุดกิน

ท็อก ถ็อก กริยา เพี้ยนมาจาก "กระตุก" ดึงอย่างเร็ว , กระตุก

ทั้งเพ ทังเพ สรรพนาม. ทั้งหมด

ท้ายด้น ถ่ายด่อน นาม. ท้ายทอย

ทำแดง ถ่ำแดง กริยา มาจาก "ทำเป็นลูกเล็กเด็กแดง" สำออย , อ้อนพ่อแม่

เทือก เถือก นาม. นาที่ไถคราดจนเป็นโคลนตม

นูยาง หนู่ยาง นาม. หนังสติ๊ก

นกฉ้อหลอ หน็อกฉ่อหล้อ นาม. นกกรงหัวจุก

น้ำชุบ หน่ามฉุบ นาม. น้ำพริก

น้ำเต้า หน่ามต่าว นาม. เรียกตามลักษณะของน้ำเต้า ฟักทอง

เนียง เนียง นาม. 1. โอ่งใส่น้ำ , 2. พืชผักชนิดหนึ่ง กินผล

เนือย เนือย กริยา เรียกตามท่าทางขณะหิว หิว

บด บ็อด กริยา จากภาษามลายู สาบาน

บิ้ง บิ่ง ลักษณะนาม แปลงนาที่ถูกแบ่งเป็นส่วน ๆ เรียก 1 บิ้ง

บองหลา บองหล้า นาม. งูจงอาง

ประตีน ปร่ะตีน นาม. เรียกตามความเชื่อในการนอน ทิศเหนือ

ปิก ปิก วิเศษณ์ มาก ขยายคำว่า "ดำ" ออกเสียง "ดำปิก"

เปี้ยว เปี่ยว นาม. งอบ (หมวกชนิดหนึ่ง), ปูเค็ม

แป้งหวาน แป่งหว้าน นาม. ผงชูรส

ป่อย ป่อย นาม ภาชนะสำหรับตวงข้าวสารกรอกหม้อ

ผรา ผร้า นาม. แผงที่ใช้วางของเหนือเตาไฟ

ผึ้งกา ผึ๊งกา นาม. กิ้งก่า

แผ้ง แผ่ง กริยา ฉายไฟ , ส่องไฟ เช่น "แผ่งเกียงแก่บ"

ไผ่หลามเหนียว ไผ้หล้ามเนี่ยว นาม. จากที่ใช้ทำข้าวหลาม ไม้ไผ่สีสุก

พด พ่อด นาม. กาบ , เปลือกมะพร้าว

พรก พร่อก นาม. เรียกตามเสียงเมื่อทุบกะลา กะลา

พวม พวม นาม. ส่วนในของลูกมะพร้าว

พ่อเฒ่า ผ่อเท๊า นาม. ตา (พ่อของแม่)

พุงปลา พุงปล่า นาม. ไตปลา

เภา เภา นาม. ที่วางเตาไฟ ก่อด้วยดิน

มันตานี มันตานี่ นาม. มันสำปะหลัง

มันล่า มันหลา นาม. เรียกตามลักษณะลำต้น มันเทศ

มีแก่ มีแก สรรพนาม. จากมีผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ไปสู่ขอ

มุ้งมิ้ง หมุ่งหมิ่ง วิเศษณ์ ยามโพล้เพล้

มุดสัง หมุดสั้ง นาม. อีเห็น

มุดหรัง หมุดหรั้ง นาม. ละมุด

แม่เฒ่า แหมเท๊า นาม. ยาย

โม่ โหม วิเศษณ์ เพี้ยนมาจาก "โง่" โง่

โมง โมง นาม. จากคำ "อุโมงค์" ตูด , ก้น

ยาขาว ยาค่าว นาม. บุหรี่

ย่านหนัด หยานนัด นาม. สับปะรด

ย่าว หยาว กริยา เล่นน้ำ ใช้คำ "หยาวหน่าม"

ยาร่วง ยาหรวง นาม. เรียกจากพงศาวดาร มะม่วงหิมพานต์

ยาแหร็ด ยาแร็ด นาม. ยาสูบที่ทำสำเร็จแล้ว บุหรี่

ยิก หยิก กริยา ไล่

ยัน อยัน กริยา เอามือยัน(ต้าน)ไว้ ทุบ , ตีด้วยหมัด

ยน ยน นาม,กริยา จากอาการคล้ายกับติดเครื่องยนต์ ตะบันหมาก , การตะบันหมาก

ยู่หนี หยูหนี้ นาม. มาจาก "ยุนี" (สันสกฤต) กระสอบป่าน

แย็ง แย็ง วิเศษณ์ ยับเยิน

ยอน ยอน กริยา ยุให้ทำตาม

ราร่า ราหรา วิเศษณ์ ท่าทางเกะกะเกเร

รุมสุม รุมสุ้ม วิเศษณ์ พะรุงพะรัง

ล็อกล็อก หล็อกหล็อก วิเศษณ์ รีบ

ลังตัง ลังตัง นาม. ต้นตำแย

ลั่ง หลัง กริยา ซน เด็กลั่ง(แด่กหลัง) คือ เด็กซน

ลาต้า ลาต่า กริยา บ้าจี้จนกระทำหรือพูดแบบลืมตัว

ลำ ลำ กริยา หลง , จำผิด

ลำเลิก ลำเลิ่ก กริยา พูดถึงบุญคุณ

ลิด หลิด กริยา ภาษาไทยเดิม ปอก (ผลไม้) ด้วยของมีคม

ลิงจุน หลิ่งจุน นาม. ลิงลม นางอาย

ลิ่น หลิน นาม. นิ่ม ตัวนิ่ม

ลิว ลิว กริยา ขว้างออกไป

ลึงลัง ลึงลัง กริยา รุ่มร่าม , ซุ่มซ่าม

ลูกหยก โหละย็อก นาม. ปลาตัวเล็ก ๆ คล้ายปลาซิว

แล แล กริยา มอง , ดู

แลน แลน นาม. ตะกวด พูดลิ้นแลน หมายถึง กลับกลอก

วาร วาน นาม. จากคำ "ทวาร" ตูด , ก้น

วิป วิป กริยา โมโหมาก

วี วี กริยา พัด เช่น วีลม หมายถึง พัดลม

เว เว กริยา ไกว แกว่ง เช่น เวเปล

ส็อกแส็ก ซ็อกแซ็ก วิเศษณ์ จับจด , ไม่ได้เรื่อง

สาด ซ้าด นาม. เสื่อ

สิก ซิก กริยา เพี้ยนมาจาก "สึก" สึกจากพระ

โส้ โซ้ กริยา จากเสียงน้ำฝน "ซู่ ๆ" รับ เช่น โซ๊หน่าม หมายถึง รับน้ำ(ฝน)

หนาง หน้าง วิเศษณ์ ดอง ,ถนอมอาหารอย่างหนึ่ง

หนัดเหนียน นัดเนี่ยน วิเศษณ์ อย่างแรง , มากมาย

หม็องแหม็ง ม่องแม่ง วิเศษณ์ แต่งตัวหรือสภาพโทรมๆ

หมอแม่ทาน ม่อแหมทาน นาม. หมอตำแย

หมัง หมั๊ง วิเศษณ์ ยั้งไว้ เช่น ตีไม๊หมั้ง หมายถึง ตีไม่ยั้ง

หมัน หมั้น สรรพนาม. แน่แท้ แม่นแล้ว

หมา หม้า นาม. มาจาก "ติมมา" (สันสกฤต) ที่ตักน้ำ

หมาน หม้าน กริยา เพาะ เพื่อถนอมอาหาร เช่น หมานลูกเนียง

หมาหม้าย หม้าม๊าย วิเศษณ์ ไม่มี

หยบ ย็อบ กริยา มาจากคำ "อพยพ" หลบ , แอบ , ซ่อน

หยอง หย้อง นาม. ยอ (เครื่องมือจับปลา)

หระ ร๊ะ นาม. หนอนไม้ไผ่

หราด ร็าด กริยา ลื่นล้ม หรือเกือบล้ม

หรุ่นหริ่น หรุ่นหริ่น กริยา จิตใจร้อนรน , งุ่นง่าน

หรุม รุ่ม วิเศษณ์ สภาพที่มืดฝน เช่น รุ่มฝ้น

หลบ ล็อบ กริยา มาจากคำ "ตลบ" กลับ

หลวด ล๊วด กริยา เพี้ยนมาจาก "พรวด" กระโดดข้าม , กระโดดไป

หลุด ลุด นาม. ดินโคลนที่ติดเท้า มักพูดว่า ติดลุด

หวัน วั่น นาม. มาจาก "ตะวัน" ตะวัน , ท้องฟ้า

หัวถั่ว หั้วถั้ว นาม. มันแกว

หัวนอน หั้วนอน สรรพนาม. เรียกตามความเชื่อในการนอน ทิศใต้

หัวบอน หั้วบอน นาม. หัวเผือก

หืด ฮืด กริยา สูดดมอย่างแรง

เห็ง เห้ง กริยา ภาษาไทยเดิม ทับ เช่น หนังเห้ง หมายถึง นั่งทับ

เหนียวห่อกล้วย เนี่ยวห้อกล่วย นาม. ข้าวต้มมัด

เหมง เม่ง , เหม้ง นาม. ส่วนของกะลามะพร้าวขณะยังอ่อน กินได้

เหรง เหร้ง กริยา เดินไปเรื่อย ๆ

เหล็กขูด แล็กขู้ด นาม. กระต่ายขูดมะพร้าว

เหล็กไฟ แล็กไฟ นาม. ไม้ขีดไฟ(แล็กไฟราง) , ไฟแช็ก

เหลื่อม เหลื้อม วิเศษณ์ ห่าม , ผลไม้ใกล้สุก

แหยะ แยะ วิเศษณ์ กินเหลือ , กินไม่หมด

แหลง แหล้ง , แล่ง กริยา มาจาก "แถลง" (เขมร) พูด

โหร๊ะ โร๊ะ , โมร๊ะ วิเศษณ์ ขี้เหร่ , ไม่สวย , ไม่หล่อ

โหละ โละ กริยา การออกไปทำงานกลางคืน เช่น โละยาง(ตัดยาง)

อานเอ อานเอ วิเศษณ์ ข้าวของเพ่นพ่าน กระจัดกระจาย

ออกปาก อ่อกป่าก กริยา วานให้ช่วยงาน

อ้อร้อ อ่อหร่อ กริยา ผู้หญิงที่ทำตนไม่เหมาะสม

อับสับ อั่บซับ วิเศษณ์ จากภาษามลายู สภาพย่ำแย่ , อาการหนัก

วุ้นในลูกตาเสื่อม คนใช้คอมพิวเตอร์ต้องอ่าน!!!

'โรควุ้นในลูกตาเสื่อม'

คนที่เล่นคอมพิวเตอร์เกือบทุกคน มักจะเป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม' ตอนนี้ในประเทศไทย มีคนเป็นโรคนี้ถึง 14 ล้านคนแล้ว จากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์ (นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้ คนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นจะมากขนาดไหน?)

อาการก็คือ !

คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนหยากใย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจก จะเห็นชัดกต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก็คือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่?)

สาเหตุของโรคนี้คือ !

การใช้สายตามากเกินไป (เล่นคอม) แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้ที่สายตามากๆ เช่น ช่างเจียระไนเพชรพลอย ! ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม (คุณฟังไม่ผิดหรอก เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ)


ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก?
ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต, เล่นเกม , อ่านไดอารี่, อ่านบทความ, อ่านหนังสือหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้นเพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ 'ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอนเพราะขอบของตัว หนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอนกว่า กล้ามเนื้อและประสาทตาจึงทำงานค่อนข้างคงที่ แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่คมชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส ( เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป ) (จอ LCD เราก็ต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือน อยู่บนแผ่นกระดาษ)การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน บวกกับ ลักษณะการอ่านหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อที่จะอ่านบรรทัดด้านล่างได้หรือไม่ก้อ ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ


แต่ การเลื่อนบรรทัดนี้ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษ ที่แขนกับคอเราจะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู ) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะจะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้น บางทีคุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้นพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ คุณจะปวดตามากๆ ตัวอย่างเช่นกรณีเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน ! สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดใช้โปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีขาวสว่าง (ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาว) สีพื้นที่สว่างจ้านี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็คนที่ชอบเล่นเกมบ่อย ๆ มักจะมีการปรับแสงสว่าง เพราะเวลาเล่นเกม ภาพพื้นหลังของเกมมักจะมืดๆ


สรุปก็คือ

1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก 'ทำให้สายตาเสีย'
2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเน็ต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เอง ที่ทำให้สายตาเสีย
3. การก้มๆเงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา 'ทำให้สายตาเสีย '
4. การปรับจอภาพที่! มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว 'ทำให้สายตาเสีย' (คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน)
5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน !! (จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ !!) เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12นิ้ว) แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่ อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา)

ถามกลับไปว่า ทำไม กระดาษเอกสาร ที่ใช้ในการอ่านการเขียนทั่วไปจึงมีขนาด A4 ?
คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดีกับการกวาดสายตามอง และเป็นคำตอบเดียวกับที่ว่าทำไมขนาดของจอคอมคุณที่ใช้ ไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง


ส่วนมากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวันนั้น จะเป็นสาเหตุใหญ่ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิดอาการรุนแรงเพราะกว่าจะรู้ตัวแล้วไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่า คุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!

สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อต้องนอนดึก

ใครที่ดูบอล ทำการบ้าน หรือทำงานติดพัน แล้วต้องนอนดึกๆ อาจจะทำให้เสียสุขภาพได้ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆควรปฎิบัติตามนี้......

การพักผ่อนควรเข้านอนเวลา 3 ทุ่ม เนื่องจากร่างกายต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด และถ้ากินมื้อหนักในตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนแน่นอน เพราะไขมันเผาผลาญไม่หมดเลยทำให้เกิดการสะสมของไขมัน

แต่ถ้านอนดึกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้องทำงาน ทำการบ้าน ดูบอล (ช่วงนี้เลยอ่ะ) หรือติดงานอะไรก็ตาม ควรปฏิบัติดังนี้

1. งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยากลำไส้ต้องทำงานหนัก

2. ถ้าหากอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียดมากเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระการทำงานของลำไส้

3. ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้

4. เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้องกับฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า

5. มื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า

6. ควรหลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะจะเพิ่มภาระทำให้ระบบภายในร่างกาย ร่างกายต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายต้องพยายามปรับอุณหภูมิ ให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้

อย่าลืมหันมาดูแลสุขภาพกัน ด้วยการไม่นอนดึกมากจนเกินไป เพื่อสุขภาพที่ดี.


ด้วยรักจากใจ

รวมวิธีเจอผี

8 วิธีเจอผี 100%

ทุกวิธีต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน
และต้องไม่เลยเที่ยงคืนเพราะจะถือว่าเป็นวันใหม่


ทุกวิธีห้ามใส่พระ ยกเว้นวิธีที่8

วันที่ทำแล้วมีโอกาสเห็นมากที่สุดคือวันพุธ และ วันอาทิตย์

คนที่มีโอกาสเห็นได้ง่ายสุดคือคนที่เกิดวันพุธ วันศุกร์ และ
วันอาทิตย์

ทุกวิธีอาจจะให้มีคนอื่นอยู่ด้วยก็ได้ยกเว้นบางวิธีที่จะระบุว่าคุณต้องทำคนเดียว

ทุกวิธีที่ต้องหลับตาหากคุณเปลี่ยนใจไม่อยากเห็น
ให้เอาอุปกรณ์ทุกอย่างออก แล้วค่อยลืมตา

*วิธีที่1* “มองลอดใต้หว่างขา” (เห็นผี 21 คน)
1. นำใบไม้ (จากต้นใดก็ได้) ที่ร่วงลงมาจากต้นไม้
ต้องเป็นของต้นนั้นจริง ๆ และร่วมลงมาไม่ห่างจากลำต้นมากนัก
หากอยู่ใกล้รากจะยิ่งดี
2. ยืนในที่โล่ง และต้องมองเห็นพระจันทร์
หันหน้าไปทางทิศตะวันออกหันหลังไปทางทิศตะวันตก (เพื่อเวลาก้ม
จะได้ก้มไปทางทิศตะวันตก
3. นำใบไม้ที่เก็บมา เอาไว้ในฝ่ามือ (จะทำมืออย่างไรก็ได้
แต่ห้ามพนมมือ)

4. หมุนตัวตามเข็มนาฬิกา (หมุนซ้าย) ช้า ๆ เมื่อมาหยุดที่เดิม
(ทิศตะวันออกที่หันหน้าไว้ตั้งแต่แรก) ให้ท่องว่า
“พุทโธทายะ” (เหมือนผีถ้วยแก้วเลย) ทำแบบนี้ 3 รอบ (ท่อง 3
ครั้งด้วย)
***เพื่อให้เห็นภาพ*** รอบที่1 ยืนหันไปทางทิศตะวันออก
หมุนซ้ายไปจนมาหยุดที่จุดเริ่มต้นแล้วท่องว่า
“พุทโธทายะ” และทำต่อไป รอบที่ 2 และรอบที่3
5. หลับตานึกถึงใบไม้ที่อยู่ในมือ กับต้นเจ้าของใบไม้
แล้วให้คิดว่าใบไม้ในมือ คือพลังงานอย่างหนึ่งที่จะเรียกวิญญาณมาได้
และนึกเอาว่าใบไม้นี้ได้ตายไปแล้วจึงได้หลุดมาจากต้นไม้
เพราะฉะนั้นเราติดต่อกับวิญญาณได้
เหมือนที่ติดต่อกับใบไม้ที่ตายแล้วใบนี้
6. ค่อย ๆ ก้มหน้าลง (ระหว่างนี้ห้ามลืมตาเด็ดขาด)
เมื่อคุณก้มและพร้อมแล้ว “ให้ตั้งสติดี ๆ” แล้วลืมตา
7. แล้วผีจะมาให้เห็น
***หากเห็นอะไรห้ามวิ่ง ไม่ว่าสิ่งที่เห็นจะอยู่ไกล
หรือมาประจันหน้าก็ตาม ต้องทำตามนี้ก่อน***
1. เงยหน้าขึ้น ทิ้งใบไม้ลงพื้นทันที
2. หมุนตัวทวนเข็มนาฬิกา (หมุนย้อนกลับไปทางขวานั่นเอง)
3 รอบ โดยไม่ต้องท่องอะไรเลย
3. เมื่อกลับถึงบ้านต้องล้างหน้า 3 ครั้ง ก่อนล้างให้ท่อง “พุทโธ”
แล้วเป่าลมลงน้ำจึงค่อยล้างหน้าทำแบบนี้ 3 ครั้ง


*วิธีที่2* “ตัดเล็บตอนกลางคืน” (เห็นผี 12 คน)
***ขอย้ำเลยวิธีนี้ ต้องทำระหว่าง 4 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน
เพราะต้องไม่ให้โพล้เพล้ หรือ เป็นวันใหม่”***
1. ตัดเล็บมือเท่านั้น โดยเริ่มจากนิ้วก้อย ,นิ้วโป้ง ,นิ้วนาง
,นิ้วชี้ และนิ้วกลาง (ตัดจากนอกเข้าในนั่นเอง)
โดยเริ่มตัดจากมือขวาก่อน และทำแบบเดียวกันกับมือซ้าย
*เล็บที่ตัดห้ามหักหรือขากเด็ดขาดต้องเป็นโค้งตามรูปเล็บ
มิเช่นนั้นจะไมได้ผล*
2. น้ำเศษเล็บที่ตัดห่อใส่ผ้าอะไรก็ได้แต่ต้องเป็นสีดำ (ต้องใช้แล้ว
ไม่ใช่ผ้าใหม่)
3. นำไปวางไว้ทางทิศตะตก (เช่นเคย) ของที่พักอาศัย
4. เมื่อคุณเข้านอนได้ไม่นาน
จะมีคนมานั่งตัดเล็บอยู่ตรงปลายเท้าที่คุณนอน (เสียงดัง “แก๊กๆ”
นั่นแหละ) เป็นการตัดเล็บของเค้ามาคืนคุณ
5. ถ้าอยากเห็นก็ลืมตาแต่ห้ามโวยวาย เพราะเขาจะไปแล้วคุณอาจจะซวยได้
(เพราะถือว่าเค้ามาดี
โดยที่เขาคิดว่าเราเอาเล็บไปแลก หรือไปเล่นกับเขา
แล้วเขาก็เลยเอาของเขามาคืน
6. เมื่อคุณตื่นในตอนเข้า ให้ไปยังจุดที่คุณเอาเล็บไปวางไว้
คลี่ห่อผ้าออก จะพบเล็บของคนอื่นไม่ใช่ของคุณ
7. ให้คุณพูดเบา ๆ ว่า “ขอบคุณ” แล้วเอาไปฝังไว้ที่ใดก็ได้
โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่พักอาศัยของคุณ
(แต่ห้ามทิ้งหรือเผาโดยเด็ดขาด)


*วิธีที่3* “หันหลังให้กระจกแล้วกลืนน้ำลาย” (เห็นผี 16 คน)

วิธีนี้ต้องทำคนเดียวเท่านั้น

วิธีนี้ต้องทำก่อนเที่ยงคืน 6 นาที

นาฬิกาที่คุณใช้เป็นเกณฑ์ในกาวัด
ให้ยึดเรือนใดเรือนหนึ่งในบ้านได้เลย
1. ยืนหันหลังให้กระจก (ครั้งนี้จะทิศใดก็ได้) ตอนเวลา 5 ทุ่ม 54
นาที
2. กลืนน้ำลาย 1 ครั้ง ทุก ๆ 1 นาที
3. พอครบ 6 นาที หมายความว่าคุณกลืนน้ำลายไปแล้ว 6 ครั้ง
และถึงเวลาเที่ยงคืนพอดี
4. หลับตาแล้วหันไปทางกระจก (จะหันซ้ายหรือขวาก็ได้แต่ช้า ๆ)
แล้วกลืนน้ำลายอีกครั้ง (เป็นครั้งที่7) แล้วลืมตา และผีจะมาให้เห็น
5. เมื่อคุณต้องการยุติพิธี ให้หลับตากลืนน้ำลายอีกครั้ง
เป็นอันจบพิธี


*วิธีที่4* “ดีดลูกคิดตอนกลางคืน” (เห็นผี 32 คน)

ลูกคิดที่ใช้ดีด ให้ดีดอันที่มีรางยาวที่สุดเท่านั้น

ต้องอยู่คนเดียว เพราะต้องใช้สมาธิอย่างมาก
1. ให้ลูกคิดทุกลูก ในทุกรางอยู่สุดรางที่หันมาหาตัวเรา
2. ดีดีลูกคิดขึ้นโดยให้ลูกคิดออกจากตัวทีละลูก(ต้องมีสมาธิมากๆ)
ไล่ไปตั้งแต่รางแลก ไปจนรางสุดท้าย
3. ตั้งสมาธิให้ดีอย่างมาก แล้วจับรางลูกคิดตั้งขึ้น
ให้ลูกคิดวิ่งกลับมาที่เดิมในตอนแรก
4. มองรอดช่องรางลูกคิด(รางใดก็ได้) แล้วผีก็จะมาให้เห็น
5. หลังจาการทำเรียบร้อยแล้ว ให้ทิ้งลูกคิดนั้นทันที *ห้าม*
นำกลับมาใช้อีกเป็นเป็นอันจบ

*วิธีที่5* “เอามุ้งคลุมหัวตอนกลางคืน” (เห็นผี 6 คน) [/font]
1. เอามุ้งมาครอบหัวไว้ (หลับตาตั้งแต่ก่อนคลุมแล้ว)
2. ท่อง มะ-อะ-อุ 7 ครั้ง (อย่าลืมว่าต้องหลับตา)
3. ลืมตา แล้วผีจะมาให้เห็น


*วิธีที่6* “ใส่เสื้อกลับแล้วนอนห้อยหัว” (เห็นผี 31 คน)

ต้องทำคนเดียว
1. ใส่เสื้อโดยการเอาข้างหลังมาอยู่ข้างหน้า
(ถ้ามีกระดุม ก็เอากระดุมไว้ขางหลังนั่นเอง)
2. นอนลงบนที่นอนที่สูงกว่าพื้น แล้วห้อยหัวลงมอง (เหมือนแหงนหน้า)
3. แล้วผีจะมาให้เห็น


*วิธีที่7* “แหงนหน้ามองตรงบันได” (เห็นผี 42 คน)

ต้องทำคนเดียว
1. นั่งบนบันไดชั้นบนสุด แล้วลงมาทีละขั้นทั้งที่ยังนั่งอยู่
(ใช้ก้นลงบันได้นั่นเอง)
2.เมื่อถึงขั้นสุดท้าย ให้ยังคงนั่งอยู่ที่ขั้นสุดแล้ว
แล้วจึงแหงนหน้ามองกลับขึ้นไปชั้นบนสุด
3. แล้วผีจะมาให้เห็น


*วิธีที่8* “สวมพระกลับหลัง” (เห็นผี 28 คน)

ต้องทำคนเดียว
1. สวมพระโดยคล้องสร้อยพระไว้ด้านหลัง(ให้เหมือนที่อยู่ด้านหน้าเลย)
2. ยื่นแขนซ้ายออกไปข้าง ๆ แล้วทำมุมข้อศอกโดยให้กำปั้นทิ่มลงพื้น
และให้ข้อศอกตั้งฉากกับพื้น
3. มองลอดผ่านช่องแขน แล้วจะเห็นผี



*วิธีที่9*
วิธีนี้ง่ายมากครับได้ผล 60%-80%
เพียงแค่เวลาคุณนอนหลับในยามค่ำคืนแต่ขอให้เป็นคืนเดือนเพ็ญนะครับจะได้ผลดียี่ยม
เวลาคุณนอนนั้นจากที่คุณเคยนอนหันศีรษะไปทางใดก็ตาม
ให้คุณเปลี่ยนการนอนมาเป็นหันหัวไปทางทิศตะวันตก
และที่สำคัญคุณต้องจุดธูป 1 ดอกไว้บริเวณหัวนอนของคุณ
เท่านี้แหล่ะครับคุณก็จะเจอสิ่งที่คุณต้องการแล้ว...

*วิธีที่10*
ผมได้วิธีนี้มาจากคำบอกเล่าของเพื่อนคนนึงที่ได้รับข้อมูลมาจากสื่อๆหนึ่งที่เกี่ยวกับ
เรื่องพวกนี้ วิธีนี้ได้ทำการทดลอง โดยไม่ตั้งใจจากเด็กวัยรุ่นชาวญี่ปุ่น
วิธีการก็มีอยู่ว่าคุณต้องหาสถานที่ซักที่นึงที่มีเสา 4 ต้น(โบสถ์วัดจะดีมาก)แต่ถ้าไม่
สามารถที่จะหาได้ก็ให้ใช้บ้านคุณหรือบ้านใครก็ได้ที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมและ
มีเสา 4 ต้น โดยวิธีนี้ให้ใช้จำนวนคนได้เพียง สี่คนเท่านั้นห้ามเกินกว่านี้โดยเด็ดขาด
ให้ทุกคนยืนประจำที่เสาทั้งสี่ต้นโดยไม่มีเครื่องลางใดๆติดตัวและปิดไฟให้มืดสนิท
เริ่มวิธีให้คุณตั้งสมาธิให้มั่นอย่าวอกแวก แล้วให้คนแรกเริ่มวิ่งไปแตะคนที่ยืนอยู่ที่
เสาต้นที่ 2 โดย คนที่หนึ่งจะยืนแทนที่คนที่สอง เมื่อคนที่สองถูกแตะให้วิ่งไปแตะ
คนที่ยืนอยู่ที่เสาต้นที่ 3 และคนที่สองที่วิ่งมาแตะจะยืนแทนที่คนที่สาม
คนที่สามก็จะวิ่งไปแตะ คนที่ยืนอยู่ที่เสาต้นที่ 4 และยืนแทนที่คนที่สี่
หากคุณนึกภาพตามคนที่ 4 จะไม่สามารถแตะใครได้ให้เพียง
แค่วิ่งไปแทนที่ที่คนที่หนึ่งยืน และเริ่มให้คนที่หนึ่งวิ่งไปแตะคนที่สองใหม่
ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆคุณจะพบว่ามีอีกหนึ่งบุคคลลึกลับมาร่วมวิ่ง
กับคุณด้วยและทำให้คุณสับสนในการวิ่ง

*วิธีที่11*
วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างยากแต่รับรองได้ว่าเป็นวิธีที่ได้ผลถึง 100% อย่างแน่นอนท่าน
ผู้ใดอยากพิสูจน์อย่ารอช้ามาดูกันว่าต้องทำอย่างไร
สิ่งที่ต้องเตรียม
1.ขี้เถ้าจากเชิงตะกอนสักหนึ่งช้อนโต๊ะห่อด้วยผ้าสีดำ
2.ใบบอนดำ 1 ใบ
3.น้ำบ่อ 7 วัดเอาวัดละครึ่งช้อนโต๊ะ

สถานที่และเวลาที่ทำพิธี
1.สถานที่ทำพิธีต้องทำในวัดร้างหรือวัดที่มีอายุตั้งแต่ร้อยปีขึ้นไป
2.วันเวลาที่ทำพิธี ต้องทำวันขึ้นและแรม 8,14,15 ค่ำในเวลา 4 ทุ่มถึงตี 2

ผู้เข้าพิธีการบวงสรวง
1.ผู้ทำพิธีหรือหัวหน้า ต้องเป็นบุคคลที่เคยผ่านการเป็นพระภิกษุและสามเณรแล้ว
ไม่ต่ำกว่า 3 พรรษา
2.ผู้เข้าพิธีไม่เกิน 3-6 คนให้ทุกคนใส่ชุดดำทั้งหมด

จุดเริ่มต้นพิธี
ให้ดับไฟทุกดวงที่มีอยู่ในวัดทั้งหมด เปิดประตูในอุโบสถหรือวิหารจุดเทียนไว้
หน้าพระประธานเพียง 1 เล่ม จากนั้นมายืนอยู่หน้าวิหารแล้วทำการผสมให้หงาย
ใบบอนขึ้นเทขี้เถ้าลงไปพอประมาณแล้วเอาน้ำผสมลง ไปพอประมาณ ว่าหรือเป่า
คาถา มะๆมาๆ 3 จบพร้อมกันทุกคน

วิธีในการใช้
ให้ใช้นิ้วที่ถนัดแตะลงในน้ำที่ผสมไว้
แล้วป้ายไว้ที่หน้าผากหรือคิ้วตาทั้งสองข้างจากนั้นผู้ที่ทำพิธีเดินนำหน้าถือใบบอนไปด้วย
เดินเวียนรอบอุโบสถไปทางซ้าย 2 รอบมาหยุดตรงที่จุดเริ่มต้น
หันหน้าเข้าอุโบสถ แล้วท่านจะ เห็นผีปรากฏร่างตามปรารถนา

ข้อห้าม
1.เมื่อเห็นผีปรากฏร่างห้ามคนใดคนหนึ่งวิ่ง
2.ห้ามดื่มสุรา
3.ห้ามนำขี้เถ้าเข้าบ้านพักที่อยู่อาศัยจะเป็นภัยแก่ตนเองและคนในครอบครัวถึง
เสียชีวิตหรือไม่ก็เป็นบ้าเสียสติไม่มีทางรักษาให้หายขาด
4.ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับในขณะทำพิธีขอวิญาณให้ปรากฏร่าง
5.ในขณะที่ผีปรากฏร่างห้ามซักถามหรือพูดคุยกัน และห้ามเคลื่อนไหวตัว
ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น ยกเว้นท่านไม่อยากดูให้ท่องคาถา
วะวะวะตังวะวะวะนัง 3 จบหลับตาลงท่านจะไม่เห็นผี แต่ห้ามหนีออกจากที่

เวลาเลิกดู
ให้ท่านใช้คาถาบทในข้อ 5 จากนั้นให้ผู้ที่พิสูจน์ผีถ่มน้ำลายลงพื้น 3 ครั้งและให้รีบไปล้างหน้า
ด้วยน้ำส้มป่อย จึงเสร็จพิธีและให้เก็บขี้เถ้าที่เหลือไว้ในบริเวณวัด